ชายในชุดดำ 115 คนยืนรวมตัวกันเป็นแถวแบบคณะร้องเพลงประสานเสียงเพื่อถ่ายรูป แต่พวกเขาหันหลังให้กล้อง มีเพียงชายชุดขาวอีก 7 คนเท่านั้นที่หันหน้ามาหาเรา เป็นจุดเล็ก ๆ ท่ามกลางภาพสีดำ นี่คือภาพถ่ายคณะนักร้องประสานเสียงชายล้วน San Francisco Gay Men’s Chorus ในปี 1993 สมาชิกในชุดดำเป็นภาพแทนของสมาชิกผู้เสียชีวิตไปด้วยโรคเอดส์ ในช่วง 1980s และสมาชิกชุดขาวคือตัวแทนของผู้รอดชีวิตจากในช่วงนั้น เป็นประจักษ์พยานถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่โรคเอดส์ได้ทิ้งไว้ต่อชุมชน LGBTQ+ และมวลมนุษยชาติ ความรู้สึกของการจากลา ความโศกเศร้า และความโกรธแค้นต่อสังคมที่เพิกเฉยหรือตีตรา คือบาดแผลร่วมของผู้คนจำนวนมากในช่วงเวลาที่วิกฤตเอดส์คุกคามอย่างรุนแรงที่สุด
และจนถึงทุกวันนี้ ประเด็นนี้ก็ยังคงอยู่กับเราไม่จากไปไหน ในประเทศไทยเองก็มีการมีผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวีจำนวนมาก และจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคที่ไม่น้อยเลยเช่นกัน แต่ที่ร้ายแรงขึ้นไปอีก ก็คือการตีตราและความเข้าใจผิดซึ่งยังคงฝังรากลึกในสังคมไทย ว่า ‘โรคของชาวเกย์’ หรือ ‘โรคสำส่อน’ ทำให้เกิดความกลัวและการปกปิดสถานะการติดเชื้อ อย่างในกรณีที่ดาราดังใช้คำว่า "HIV" เป็นคำด่าทอเมื่อไม่นานมานี้เอง

ท่ามกลางความมืดมนและความท้าทาย ศิลปะได้กลายเป็นแสงสว่างและเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารเรื่องราวของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ โดยเฉพาะชุมชน LGBTQ+ แต่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พวกเขา เพราะแม้ประเด็นเรื่องเอดส์จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกพูดถึงมากในนิวยอร์กช่วง 1980-1990 แต่ในความเป็นจริง ศิลปะที่พูดถึงเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำหน้าที่ทั้งชี้แจงข้อมูล กระตุ้นการใคร่ครวญ และสร้างบทสนทนา ถ้อยคำบนโปสเตอร์ที่ออกแบบโดย Gran Fury จากยุคนั้นอธิบายความสำคัญของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี “ทารก 1 ใน 61 คนในนิวยอร์กเกิดมากับเอดส์หรือเชื้อบวก HIV แล้วทำไมสื่อถึงบอกเราว่าคนรักต่างเพศไม่ได้ตกอยู่ในความเสี่ยง? เพราะเด็ก ๆ เหล่านั้นผิวดำ เด็กเหล่านั้นพูดภาษาสเปน” “ผู้หญิงไม่ได้เป็นเอดส์ พวกเขาแค่ตายเพราะมัน”
วันนี้ GroundControl จึงอยากชวนมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยกัน ผ่านงานศิลปะ แล้วมาทบทวนด้วยกัน ว่ามีเรื่องอะไรอีกไหม ที่เรายังเข้าใจผิด ๆ

Untitled (Portrait of Ross in L.A.) (1991) โดย Félix González-Torres
กองลูกอมหลากสีวางอยู่มุมห้อง น้ำหนักรวมของมันเท่ากับคนรักของศิลปินที่กำลังป่วยด้วยโรคเอดส์ ผู้ชมสามารถหยิบลูกอมไปได้ และมันจะถูกเติมให้กลับมาหนักเท่าเดิมเสมอ งานที่ดูเรียบง่ายแต่สะเทือนอารมณ์รุนแรงนี้ พูดถึงความรัก การสูญเสีย และร่างกายที่ค่อย ๆ สลายไปเพราะโรค ลูกอมที่ลดลงแล้วถูกเติมกลับไปใหม่ เป็นเหมือนความทรงจำและความรักที่ยังคงอยู่ แม้ร่างกายจะจากไป มันทำให้เราเห็นว่าชีวิตคน ๆ หนึ่งเปราะบางแค่ไหนในยุคที่เอดส์ระบาดหนัก และชวนให้คิดถึงเรื่องนโยบายที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนด้วย

NAMES Project AIDS Memorial Quilt
ผ้าห่มผืนยักษ์ซึ่งสร้างจากการนำผ้าแต่ละผืนที่ญาติมิตรสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไปด้วยโรคเอดส์มาเย็บต่อกัน เริ่มจากป้ายชื่อไม่กี่แผ่น จนกลายเป็นอนุสรณ์สถานเคลื่อนที่ขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยชื่อและความทรงจำ มันไม่ใช่แค่งานศิลปะ แต่เป็นเหมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เห็นว่าโรคเอดส์พรากชีวิตผู้คนไปมากมายแค่ไหน ผ้าแต่ละผืนคือเรื่องราวชีวิตหนึ่งชีวิต สถิติที่น่ากลัวกลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่จับต้องได้ และจึงหวังว่าคนจะเข้าใจและเห็นใจกันมากขึ้น (ตอนนี้ผ้าผืนนี้สามารถเข้าไปดูออนไลน์ได้ที่ https://www.aidsmemorial.org/interactive-aids-quilt)

Untitled (One Day This Kid…) โดย David Wojnarowicz
ศิลปินนำภาพถ่ายตัวเองตอนเด็กๆ มาคู่กับข้อความที่เล่าถึงอนาคตอันโหดร้ายที่เด็กคนนี้จะต้องเจอ ทั้งการถูกสังคมกีดกันและการต่อสู้กับโรคเอดส์ เป็นงานที่ดูดิบและตรงไปตรงมา เหมือนจะตะโกนออกมาดัง ๆ ให้โลกรู้ถึงความไม่ยุติธรรมและความเจ็บปวดที่คนรักเพศเดียวกันและผู้ติดเชื้อเอดส์ต้องเผชิญ ภาพวัยเด็กของเขา กระตุ้นให้เราอยากลุกขึ้นมาต่อสู้กับความเกลียดชังและการตีตรา

Ignorance = Fear โดย Keith Haring
สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้กับเอดส์โดยศิลปินชื่อดังของโลก เจ้าของลายเส้นการ์ตูนที่เป็นเอกลักษณ์ เขาพูดออกมาตรง ๆ ว่า "การเพิกเฉย = ความกลัว" และ "การเงียบ = ความตาย" ภาพคนปิดหูปิดตา และสามเหลี่ยมสีชมพู (สัญลักษณ์ที่นาซีใช้สื่อถึงเกย์) ตอกย้ำว่าการเพิกเฉยต่อปัญหาเอดส์และการนิ่งเงียบไม่ยอมพูดถึงมันนำมาสู่อันตรายได้แค่ไหน เป็นงานที่เรียกร้องให้สังคมตื่นตัว สร้างความตระหนักรู้ และกล้าที่จะพูดความจริง

Kissing Doesn't Kill: Greed and Indifference Do โดย Gran Fury
กลุ่มศิลปินนักเคลื่อนไหว Gran Fury สร้างโปสเตอร์นี้ขึ้นมาในสมัยก่อน(?)ที่คนยังเข้าใจผิด ๆ ว่าเอดส์ติดต่อกันง่าย ๆ จากการจูบ พวกเขาใช้ภาพคู่รักหลากหลายเพศและเชื้อชาติกำลังจูบกัน พร้อมข้อความที่หนักแน่นตรงไปตรงมา ว่า "การจูบไม่ทำให้ใครตาย แต่ความโลภ (ของบริษัทยา) และความเพิกเฉย (ของรัฐบาลและสังคม) ต่างหากที่กำลังฆ่าคน" เพื่อส่งเสียงค้านตรง ๆ ไปยังความเข้าใจผิดของสังคม และกระตุ้นให้คนหันมามองปัญหาที่แท้จริง คือการขาดความรับผิดชอบและการแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้คน

24 โดย Kia LaBeija
แม้ว่ากลุ่มผู้ถูกตีตราคู่กับโรคเอดส์มากที่สุดจะเป็นเกย์ชายผิวขาว แต่ศิลปินหญิงผิวสีผู้เกิดมาพร้อมเชื้อเอชไอวีคนนี้ ใช้ภาพถ่ายชุดนี้ของเธอ ส่งเสียงของหนึ่งในผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ แบบที่ไม่จำเป็นต้องเศร้า สิ้นหวัง แต่อาจเต็มไปด้วยความงาม และความแข็งแกร่งก็ได้ ภาพอย่าง Mourning Sickness เธอถ่ายตัวเองทิ้งตัวลงกับพื้นในห้องน้ำจากวัยเด็ก ซึ่งอิงไปถึงประสบการณ์การรับยาซึ่งทำให้เธอป่วยในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน แต่เธอกลับถ่ายมันอย่างงดงาม แปลกไปจากภาพจำของโรคเอดส์ที่มักจะเห็นโดยทั่วไป

"Aids is Good, Business for Some" โดย Elmgreen & Dragset
คู่หูศิลปินคู่นี้มักจะสร้างงานวิพากษ์วิจารณ์สังคมและสถาบันต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ เช่นป้ายไฟนีออนที่เขียนว่า "AIDS is Good, Business for Some" (เอดส์นั้นดี ในฐานะธุรกิจสำหรับบางคน) ซึ่งประโยคแรกจะสว่างก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยประโยคที่สอง มันจี้จุดไปยังผลประโยชน์มหาศาลที่บริษัทยาได้รับจากวิกฤตเอดส์ สวนทางกับความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย พวกเขาใช้ภาษาและการออกแบบที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงนัยยะที่คมคาย เพื่อกระตุ้นให้สังคมตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจและความซับซ้อนของปัญหาเอดส์

"ไม่มีชื่อ" (2555) โดย ปรัชญา พิณทอง
ศิลปินไทยท่านนี้สร้างงานที่ดูเหมือนจะไม่ได้พูดถึงเอดส์โดยตรง แต่กลับมีความหมายลึกซึ้งในเชิงโครงสร้าง ในนิทรรศการ "You Are Not Alone" ที่จัดเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์ เขาเก็บสายไฟเก่า ๆ มาแยกเปลือกพลาสติกไปจัดแสดงที่จุดหนึ่ง และนำลวดทองแดงที่สามารถนำไฟฟ้าข้างในก็นำไปหลอมทำเป็นตะปูและสกรู ซึ่งถูกนำไปใช้จริง ในการติดตั้งงานของศิลปินคนอื่น ๆ ในนิทรรศการนั้น กลายเป็นส่วนประกอบที่มองไม่เห็น แต่แทรกซึมและเป็นส่วนสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสิ่งอื่น ๆ พื้นที่นั้น ชวนให้นึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์คนหนึ่งและคนอื่น ๆ ในสังคม และยังตั้งคำถามเรื่องตัวตนของเราแต่ละคน กับสิ่งภายในที่ทำให้เราเปลี่ยนไป (หรือที่จริงแล้ว เราก็เหมือนเดิม?)

"RUN FOR NO ONE ฉันเหงา..ฉันจึงมาวิ่ง" (2555) โดย กลุ่มศิลปินมิวท์ มิวท์ (Mute Mute)
งานศิลปะในรูปแบบกิจกรรมการวิ่งมาราธอนและศิลปะจัดวางในนิทรรศการ "You Are Not Alone" โดยกลุ่มศิลปินจากเชียงใหม่ พวกเขามองว่า “ความเป็นเอดส์” มาจากสังคมที่ตีตราให้สิ่งนี้แปลก โดยตัดสินจากเรื่องศีลธรรม เขาจึงจัดงานวิ่ง "เพื่อตนเอง" หรือ "RUN FOR NO ONE" เพื่อกระตุ้นให้เรากลับมามองและยอมรับความแตกต่างหลากหลายและเฉพาะตัว ทั้งของตัวเองและผู้อื่น เพื่อสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเข้าใจผู้ติดเชื้อเอดส์มากขึ้น
อ้างอิง
- Hilde Teerlinck, et al. “You Are Not Alone,” Exhibition Catalogue, Bangkok Arts and Cultural Centre. Bangkok Arts and Culture Centre, 2012. Bangkok Art and Culture Centre. HIV, AIDS & the Arts. Reveal Digital, JSTOR, https://jstor.org/stable/community.37908549. Accessed 18 June 2025.
- Artreview.com. “What Do We Mean by ‘AIDS Art’?,” 2016. https://artreview.com/summer-2016-opinion-dan-udy-aids-art/.
- Artreview.com. “AIDS Memorial Quilt Now Entirely Online,” 2020. https://artreview.com/aids-memorial-quilt-now-entirely-online/.
- Davies, Jon. “Smarthistory – David Wojnarowicz, Untitled (One Day This Kid . . .).” Smarthistory.org, 2016. https://smarthistory.org/david-wojnarowicz-untitled-one-day-this-kid/.
- Jalalian, Nellie. “Keith Haring: Silence = Death,” 2019. https://digitalcommons.chapman.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=1342&context=cusrd_abstracts.