มันเป็นภาพอันน่าตกตะลึง เมื่อหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องที่เงียบสงบ แล้วเอ่ยคำบรรยายอย่างเป็นทางการแบบในห้องเรียน แต่นักเรียนของเธอไม่ตอบสนองอะไรทั้งนั้น เพียงนอนอยู่บนเปลเข็นอยู่ 6 ร่าง ถูกคลุมด้วยผ้าขาว ร่างกายไร้วิญญาณ… นี่ไม่ใช่เรื่องสยองแกล้งให้กลัวหรืออะไร แต่คือผลงานศิลปะ "The Class" (2005) ผลงานระดับตำนานของศิลปินไทย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ผู้สำรวจความตาย และความปรารถนา หรือความแตกต่างและความสนใจใคร่รู้ มานานหลายสิบปี แต่ผลงานของเธอไม่ได้มีแค่ชิ้นนี้ และแนวคิดของเธอก็ลึกซึ้งไปอีกไกลอีกมาก
นอกจากบทสนทนาระหว่างคนเป็นกับคนตายในงานอันโด่งดัง เธอยังสร้างบทสนทนาระหว่างสิ่งที่ดูไม่น่าจะมาคุยกันได้อย่างเช่นมนุษย์กับสัตว์ (นอกจากเป็นศิลปินและผู้ก่อตั้งหลักสูตรสหศาสตร์ศิลป์แห่งแรกของประเทศที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว เธอยังเป็น “แม่หมา” ผู้ใช้บ้านและสตูดิโอของเธอเป็นที่พักพิงสุนัขจรจัดกว่าหลายสิบชีวิต) ผลงานของเธอเต็มไปด้วยคำถามเชิงปรัชญา และวิธีค้นหาคำตอบก็อยู่ท่ามกลางรูปแบบทางศิลปะที่หลากหลายไม่จำกัดเทคนิคที่ใช้
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยใหม่เอี่ยม จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดนิทรรศการเดี่ยวโดยอารยา ราษฎร์จําเริญสุข ‘ช่อมาลา’ ในวันเกิดของเธอ GroundControl อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักความคิดและตัวตนของเธอกัน ผ่าน 5 ผลงานของเธอ
ช่อมาลา นิทรรศการเดี่ยวโดย อารยา ราษฎร์จําเริญสุข คัดสรรโดย กิตติมา จารีประสิทธิ์ และ โรเจอร์ เนลสัน จัดแสดงแล้ววันนี้ - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2569 ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยใหม่เอี่ยม จังหวัดเชียงใหม่

“The Class”
บทสนทนากับความตาย
"The Class" (2005) คือหนึ่งในผลงานวิดีโออาร์ตชิ้นสำคัญที่สุดของอารยา ราษฎร์จำเริญสุข ที่เธอสำรวจบทบาทของ “อาจารย์” ผู้บรรยายวิชาความรู้อย่างจริงจังให้กับเหล่านักศึกษา ซึ่งในงานนี้คือร่างผู้นอนนอนสงบนิ่งไร้วิญญาณ 6 ร่าง นอกจากแก่นคำถามที่สำคัญอย่างความเป็นคืออะไร? ความตายคืออะไร? (หรือ “ตายทั้งเป็นคืออะไร?”) คำอีกคำที่ถูกท้าทายอย่างจังในงานนี้คือ ความรู้คืออะไร? มันสามารถส่งผ่านจาก(คนเป็น)คนหนึ่ง ไปสู่(คนตาย)อีกคนหนึ่งได้หรือไม่? มันเป็นการเผชิญหน้าอย่างจริงใจและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ใครที่มีบางคนในชีวิตผู้จากไปแล้วให้คิดถึงคงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ไม่ยาก ว่าความปรารถนาจะสื่อสารกับอีกฝ่าย แต่มี “ขีดจำกัด” บางอย่างกั้นไว้อยู่เป็นอย่างไร และบางทีขีดจำกัดนั้นก็เลือนหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างไร

“Two Planets”
บทสนทนาระหว่างโลกตะวันตกและสังคมไทย
ในผลงานอย่าง Two Planets อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ใช้ศิลปะกระตุ้นให้โลกของศิลปะตะวันตก “ชั้นสูง” กับ โลกในสังคมชนบทของไทย มาเผชิญหน้ากันผ่านผลงานวิดีโออาร์ต ซึ่งถ่ายทอดการนำภาพจำลอง (reproduction) ของผลงานศิลปะ “ระดับมาสเตอร์พีซ” ของทางตะวันตก เช่น Le Déjeuner sur l'herbe ของมาเนต์ ออกมาจากบริบทของพิพิธภัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ ไปตั้งไว้กลางป่าบ้างริมน้ำบ้าง แล้วเชิญชวนให้ “ชาวบ้าน” มานั่งวิพากษ์วิจารณ์งานเหล่านั้น ความเห็นของพวกเขาสะท้อนวิธีคิด มุมมอง หรือ “โลก” ในสายตาพวกเขา ซึ่งทำให้ผู้ชมตั้งคำถามกลับไปยังความ “เหนือกว่า” ของการมองโลกในแบบตะวันตก และคุณค่าของการมองโลกแบบอื่น ๆ รวมไปถึงบทบาทการรับและการสื่อความหมายของศิลปะอีกด้วย

“The Treachery of the Moon”
บทสนทนาระหว่างสายพันธุ์
คนจาก “ดาวดวงหนึ่ง” มองงานศิลปะจากดาวอีกดวงคงจะเกิดการปะทะกันทางมุมมองมาก ๆ แล้ว แต่ถ้าสุนัขมองดูมนุษย์จากหน้าจอบ้างล่ะจะเกิดอะไรขึ้น? ใน The Treachery of the Moon ที่เธอนั่งดูละครทีวีกับหมา ซึ่งเธอเล่าว่ามีที่มาจากเหตุการณ์จริงที่เธอนั่งดูละครหลังข่าวไปด้วยหาอะไรกินไปด้วยกับหมาที่บ้าน ซึ่งเธอก็รู้สึกสนุก เศร้า หรือโกรธ ร่วมไปกับละครด้วย แต่คำถามคือเจ้า “งับ” หมาสีดำที่นั่งดูกับเธอด้วย รับรู้อะไรอย่างไรบ้าง? ทำให้ “เส้นแบ่ง” ของความรู้แบบต่าง ๆ ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ว่าความรู้ “แบบมนุษย์” เป็นอย่างไร ความรู้อย่างสัตว์เป็นอย่างไร วัฒนธรรมและอารยธรรมคืออะไร และธรรมชาติคืออะไรกันแน่ และท้ายที่สุด การเมืองของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเข้ามาส่งผลกระทบกับทุก ๆ ชีวิตอย่างไรบ้าง?

“ผุดเกิดมาลาร่ำ”
บทสนทนากับตัวเอง
นอกจากจะทำงานศิลปะในแกลเลอรี่แล้ว อารยายังเขียนหนังสือ และเขียนได้ดีจนมีนวนิยายเข้ารอบลึกรางวัลซีไรต์มาแล้วด้วย คือหนังสือ “ผุดเป็นมาลาร่ำ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการและโครงการ “ศิลปินกำลังพยายามกลับไปเป็นนักเขียน
นิยายเล่มนี้เล่าเรื่องของ ไลลียา ในฐานะเด็กหญิง หญิงสาว และหญิงชรา ซึ่งสื่ออย่าง THE MOMENTUM นิยามเรื่องนี้ว่าเป็น “อัตชีวประวัติ” หรือเรื่องราวของนักเขียนเอง “จนราวกับว่าแท้จริงแล้วนี่คือคำสารภาพของศิลปิน” ซึ่งอาจมองเป็นการย้อนไปคุยกับประสบการณ์หรือความทรงจำของตัวศิลปินเองก็ได้ หรืออีกแง่หนึ่ง ด้วยความที่เป็นวรรณกรรมที่ผูกพันอยู่กับนิทรรศการศิลปะ ก็อาจเรียกได้ว่านี่คือบทสนทนาระหว่างภาพ (หรือองค์ประกอบทางศิลปะต่าง ๆ) กับคำ ว่าแต่ละอย่างจะมีความสามารถสื่อความได้อย่างไร รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง ซึ่งยากจะแยกออกจากกันในนี้ด้วย