สนทนากับ วินจี ซิน ผู้ขับเคลื่อน Cartier Women’s Initiative ที่เชื่อในพลังนักธุรกิจหญิงและการสร้างทุกธุรกิจให้ยั่งยืนแบบเน็กซ์เลเวล

Post on 4 August 2025

ในโลกของศิลปะและการออกแบบ คำว่า ‘ผู้ประกอบการ’ อาจยังฟังดูไกลตัว แต่ในยุคที่ผลงานสร้างสรรค์สามารถพาธุรกิจไปได้ไกลกว่าที่คิด เราจึงอยากชวนทุกคนมารู้จักกับโครงการ Cartier Women’s Initiative (CWI) โครงการระดับโลกที่ไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการหญิง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ศิลปิน ดีไซเนอร์ ที่อยากสวมบทบาทเป็นผู้ประกอบการสายสร้างสรรค์เต็มตัว ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะการที่ศิลปินหรือดีไซน์เนอร์จะรอดได้ในวงการ ทักษะทางธุรกิจก็สำคัญ

ในปีหน้าโครงการ Cartier Women’s Initiative ก็จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 อย่างเต็มตัว ทำให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ คุณ วินจี ซิน (Wingee Sin) Global Program Director of the Cartier Women's Initiative ได้ตัดสินใจเดินทางมาเยือนประเทศไทยพร้อมประกาศข่าวดีว่า ในปี 2026 ที่จะถึงนี้ ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Cartier Women’s Initiative Awards อย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการหญิงในไทยกล้าที่จะก้าวสู่เวทีโลกผ่านโครงการนี้

และในการมาเยือนครั้งนี้ GroundControl ก็มีโอกาสได้ไปร่วมงานและพูดคุยกับคุณซินอย่างใกล้ชิดถึงเป้าหมายของ Cartier Women’s Initiative ว่าทำไมโครงการนี้ถึงเน้นสนับสนุนผู้หญิงผ่านธุรกิจ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ศิลปิน ดีไซเนอร์ จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการที่ยั่งยืนได้ พร้อมขอสปอยเกณฑ์การคัดเลือกและโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในปีหน้า เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้หญิงทุกคนที่อยาก Take Their Business to the Next Level ได้เข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูลไว้เตรียมสมัครเข้าร่วมโครงการที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยภายในปีหน้าไปพร้อมกัน

**คุณ วินจี ซิน (Wingee Sin) - Global Program Director of the Cartier Women's Initiative (CWI)**

คุณ วินจี ซิน (Wingee Sin) - Global Program Director of the Cartier Women's Initiative (CWI)

รู้จัก Cartier Women’s Initiative โครงการที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงให้ไปไกลได้อีกขั้น

วินจี ซิน: สำหรับ Cartier Women’s Initiative คือโครงการระดับนานาชาติที่ก่อตั้งในปี 2006 โดย Cartier เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงที่สร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จุดมุ่งหมายของเราคือสนับสนุนให้ผู้หญิงเหล่านี้สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ผ่านการช่วยเหลือทั้งด้านเงินทุน เครือข่าย และทุนมนุษย์

จากเดิมโครงการนี้จะมีเพียงรางวัลเพื่อยกย่อง แต่ตอนนี้มันได้พัฒนาเป็นโปรแกรมอย่างเต็มรูปแบบ พร้อม Fellowship ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจของผู้หญิงจากทั่วโลก ปัจจุบันเราสนับสนุนมาแล้วกว่า 330 ราย และในปีหน้า เราจะครบรอบ 20 ปี แล้ว เราเลยเลือกจัดงานใหญ่ที่ประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการหญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกัน

**เครดิตภาพ: Cartier**

เครดิตภาพ: Cartier

**เพราะการสนับสนุนผู้หญิงในฐานะผู้ประกอบการไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ควรทำ’ แต่คือทางเลือกที่ ‘ฉลาด’ ที่สุดในตอนนี้
**
GC: เพราะอะไรการสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคม โดยเฉพาะในตอนนี้ จึงมีความสำคัญ? หรืออะไรทำให้บทบาทของผู้ประกอบการสำคัญในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน?

วินจี ซิน: ตามที่ทราบกันดีว่าโลกของเรายังตามไม่ทันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN ฉันไม่คิดว่าเราควรฝากความหวังไว้กับรัฐบาลหรือ NGO เพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ธุรกิจต้องเข้ามามีบทบาทด้วย

และการเป็นผู้ประกอบการคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจในอนาคต ที่น่าสนใจก็คือ ผู้เข้าร่วมกว่า 90% ของเรา ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เพียงรับใช้ชุมชน แต่ยังมีอิทธิพลต่อธุรกิจอื่น ๆ ด้วย ทำให้ผลกระทบขยายออกไปอีกระดับ นี่คือเหตุผลที่เรามองว่าผู้ประกอบการเพื่อสังคมและการใช้ธุรกิจเป็นพลังเพื่อความดีนั้นมีความสำคัญมากในโลกยุคนี้

GC: แล้วทำไมถึงอยากมุ่งการสนับสนุนไปที่ผู้ประกอบการหญิง

วินจี ซิน: เพราะผู้นำที่หลากหลายจะช่วยให้ธุรกิจมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า การสนับสนุนผู้หญิงในฐานะผู้ประกอบการเลยไม่ใช่แค่สิ่งที่ ‘ควรทำ’ แต่คือทางเลือกที่ ‘ฉลาด’ ที่สุดในตอนนี้ เรียกได้ว่ากว่า 70% ของผู้เข้าร่วมโครงการยังคงดำเนินธุรกิจต่อ และต่อยอดเป็นผู้ประกอบการ และพวกเขายังคงสร้างกิจการใหม่ ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง

การสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงในโครงการ Cartier Women’s Initiative เลยไม่ได้สนับสนุนเพียงเรื่องของเงินทุน แต่เรายังให้ ‘เครือข่าย’ และ ‘ศักยภาพ’ ที่ช่วยให้ธุรกิจไปได้ไกลกว่าที่คิดด้วยค่ะ

GC: มีอุตสาหกรรมใดบ้างที่ยังมีตัวแทนจาก Cartier Women’s Initiative น้อยอยู่?

วินจี ซิน: เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ จริง ๆ แล้วผู้หญิงมีบทบาทในทุกเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) แต่อย่างไรก็ตาม บางสาขา เช่น การศึกษา และการดูแลสุขภาพ มักมีจำนวนธุรกิจที่นำโดยผู้หญิงสูงกว่าสาขาอื่น ทุกปีเราจะเห็นผู้สมัครจากสองกลุ่มนี้จำนวนมาก

แต่ผู้หญิงก็มีบทบาทในสาขาอื่นอีกหลายด้านเช่นกัน สาขาหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อแก้ไขการขาดตัวแทน คือหมวด Science & Technology Pioneer หมวดนี้เน้นไปที่ผู้หญิงที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (deep tech) เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม นี่เลยเป็นหมวดที่มีผู้สมัครมากที่สุดในระดับโลก แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจ deep tech ที่นำโดยผู้หญิงมักได้รับเงินทุนสนับสนุนน้อยกว่าธุรกิจรูปแบบอื่นมาก เราจึงสร้างหมวดนี้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนผู้หญิงที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลกระทบ

และแม้ว่าหลายคนอาจคิดว่าแทบไม่มีผู้หญิงในวงการ deep tech เรากลับพบว่ามีธุรกิจที่นำโดยผู้หญิงในสายนี้จำนวนไม่น้อย และหลายธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ พวกเธอมีอยู่จริง และเราภูมิใจที่ได้ช่วยให้โลกเห็นผลงานของพวกเธอค่ะ

**เครดิตภาพ: Cartier**

เครดิตภาพ: Cartier

ศิลปะคือภาษาสากลและคนทำงานสร้างสรรค์ทุกคนล้วนมีโอกาสใน Cartier Women’s Initiative

GC: ในมุมมองของคุณ ศิลปะ วัฒนธรรม และงานออกแบบสามารถสร้างผลกระทบต่อชุมชนได้อย่างไร และศิลปินหรือดีไซเนอร์จะมีบทบาทในโครงการระดับโลกอย่าง Cartier Women’s Initiative ได้แบบไหนบ้าง?

วินจี ซิน: จริง ๆ เมื่อวานนี้เราเคยคุยกันเล็กน้อยแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่คุณพูดไว้แล้วฉันประทับใจมาก คือการอธิบายบทบาทของศิลปะในฐานะภาษาสากลที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนจากทุกที่ ผ่านประสบการณ์ร่วม ในขณะเดียวกัน ศิลปะก็เปิดให้แต่ละบุคคลและแต่ละวัฒนธรรมตีความในแบบของตัวเอง

สิ่งนี้สอดคล้องกับคุณค่าหลักของ Cartier Women’s Initiative อย่างลึกซึ้ง เพราะไม่ว่าเราจะมาจากวัฒนธรรมหรือเพศไหน เราต่างก็อยู่ร่วมโลกเดียวกัน และพยายามแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่เพื่อทำให้โลกดีขึ้น ศิลปะจึงมีพลังในการเชื่อมโยงผู้คนได้อย่างน่าทึ่ง

ที่ผ่านมา เรามี fellow ในโครงการที่ทำงานในแวดวงแฟชั่นและการออกแบบ โดยผสานงานฝีมือแบบดั้งเดิมเข้าไว้ในธุรกิจ การอนุรักษ์งานช่างฝีมือถือเป็นคุณค่าหลักของ Cartier และเรามองว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับพันธกิจของโครงการมาก สำหรับศิลปินที่บริหารธุรกิจ และใช้แนวทางของผู้ประกอบการในการเผยแพร่ผลงานของตน เราก็อยากชวนให้พวกเขาสมัครเข้าร่วม Cartier Women’s Initiative ค่ะ

ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่นึกถึงทันทีคือ Elvis & Kresse ซึ่งเป็นหนึ่งใน fellow รุ่นแรก ๆ จากสหราชอาณาจักรเธอนำสายดับเพลิงเก่ามารีไซเคิลเป็นกระเป๋า เครื่องประดับ และปัจจุบันยังขยายไปสู่ของตกแต่งบ้านอีกด้วย
นอกจากการช่วยชีวิตสายดับเพลิงทุกเส้นในลอนดอนแล้ว ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว เธอยังร่วมมือกับหลายบริษัทในการรีไซเคิลหนังที่เหลือใช้ เช่นกับ Burberry และแบรนด์อื่น ๆ ถือเป็นโปรเจกต์ที่น่าทึ่งมากค่ะ

สำหรับนักออกแบบที่สนใจโครงการ Cartier Women’s Initiative หรือโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบการแบบเดียวกัน สิ่งสำคัญคือไม่ใช่แค่การมีดีไซน์ที่โดดเด่น แต่ต้องมีโมเดลธุรกิจที่แข็งแรงประกอบอยู่ด้วย อย่างกรณีของ Christy ที่สมัครเข้าร่วมกับเรา ตอนนั้นเธอก่อตั้งธุรกิจระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงที่เรามุ่งเน้นการสนับสนุนพอดี ฉันอยากแนะนำดีไซเนอร์ทุกคนว่า เมื่อคุณพัฒนาแบบเสร็จแล้ว และสร้างธุรกิจรอบตัวมันขึ้นมาได้ ก็อย่าลังเลที่จะสมัคร

นอกจาก Christy แล้ว เรายังมีอีกหนึ่ง fellow จากละตินอเมริกา ถ้าจำไม่ผิดคือจากโคลอมเบีย ที่ทำงานกับเทคนิคการแปรรูปไม้แบบดั้งเดิม เพื่ออนุรักษ์งานหัตถกรรม พร้อมไปกับการสร้างงานในเวิร์กช็อปที่ผลิตสินค้าตกแต่งบ้าน เช่น แจกัน เป็นต้น

GC: คนภายนอกอาจคิดว่างานออกแบบ ศิลปะ หรือวัฒนธรรม ไม่น่าจะเข้ากับโปรแกรมให้ทุนแบบนี้ได้เลย คุณมีคำแนะนำในการเชื่อมโยงหรือกระตุ้นให้ดีไซเนอร์และช่างฝีมือกล้าสมัครเข้ามาไหมคะ?

วินจี ซิน: คุณหมายถึงภาพจำว่าโปรแกรมแบบนี้ต้องเน้นแต่โปรเจกต์ที่แก้ปัญหาใหญ่ระดับโลกใช่ไหมคะ ฉันอยากบอกว่าถ้าผู้สมัครมีธุรกิจจริง และธุรกิจนั้นสร้างผลกระทบที่วัดได้ นั่นแหละคือผู้ประกอบการที่เรากำลังมองหา ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือช่างฝีมือที่อนุรักษ์เทคนิคดั้งเดิม ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำส่งผลต่อชุมชนของตนเอง นั่นก็คือสิ่งที่อิมแพคแล้วค่ะ

และถ้าพวกเขาสามารถวัดผลกระทบนั้นได้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก เราได้รับใบสมัครจากผู้ประกอบการในสายงานออกแบบและงานฝีมือทุกปี ดังนั้นอย่าปล่อยให้ภาพจำเหล่านั้นหยุดคุณไว้ แน่นอนว่าก็ยังมีรางวัลและโปรแกรมอื่นที่โฟกัสเฉพาะด้านดีไซน์ แต่เราจะสนับสนุน ‘ด้านธุรกิจ’ ของดีไซน์นั้น ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและสามารถยั่งยืนได้ นั่นคือพื้นที่ที่เราสามารถช่วยได้จริง ๆ

**เครดิตภาพ: Cartier**

เครดิตภาพ: Cartier

Cartier Women’s Initiative กับการมองหาผู้ประกอบการหญิง ที่พร้อมจะไประดับโลก

GC: โครงการ Cartier Women’s Initiative มีเกณฑ์พิจารณาอย่างไร และกำลังมองหาคนแบบไหนอยู่

วินจี ซิน: เกณฑ์ที่เราใช้พิจารณาจะมีอยู่สองเกณฑ์หลัก ๆ อย่างแรกคือธุรกิจของพวกเธอต้องมี embedded impact หรือผลกระทบทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่ทำควบคู่หรือเป็นกิจกรรมเสริม และอย่างที่สองคือธุรกิจนั้นต้องมี financial sustainability หรือความยั่งยืนทางการเงิน เพราะถ้าธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ ก็คงสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวไม่ได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณสามารถช่วยชีวิตคนได้ X คน ลดการปล่อยคาร์บอนได้ X ตัน หรือเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาได้ X% คือเราจะดูว่าสิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็นหัวใจของธุรกิจจริง ๆ ไม่ใช่ส่วนเสริม และเมื่อผู้ประกอบการมี KPI ที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น แสดงว่าผลกระทบฝังอยู่ใน DNA ของธุรกิจนั้นแล้ว แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป วิธีการวัดผลอาจเปลี่ยนไป แต่เราก็พร้อมสนับสนุนให้พวกเขาหาวิธีวัดผลที่เหมาะสมกับธุรกิจ

สรุปแล้ว สำหรับเรา องค์ประกอบสำคัญของธุรกิจเพื่อสังคมที่ประสบความสำเร็จ คือ ความยั่งยืนทางการเงินและ ผลกระทบที่วัดผลได้และฝังอยู่ในโมเดลธุรกิจ

GC: อยากบอกอะไรกับคนที่คิดจะสมัครโครงการนี้ไหมคะ

วินจี ซิน: ถ้าคุณมีธุรกิจที่เติบโตจากผลงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ ศิลปะ หรือการออกแบบ และคิดว่าธุรกิจที่กำลังทำมีเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลให้กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ฉันคิดว่าโครงการนี้เหมาะกับคุณค่ะ

เราเคยมีผู้เข้าร่วมที่ทำงานแฟชั่น งานไม้ งานรีไซเคิล หรือแม้แต่ศิลปินที่นำงานหัตถกรรมดั้งเดิมมาพัฒนาต่อเป็นธุรกิจ สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน และผลกระทบที่สามารถวัดผลได้ แค่นี้ก็สมัครได้แล้วค่ะ

Cartier Women’s Initiative กับการเลือกประเทศไทยเป็นเป้าหมายในปี 2026

GC: มีอะไรน่าตื่นเต้นรออยู่ใน Cartier Women’s Initiative ปี 2026 บ้าง

วินจี ซิน: ปี 2026 เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของ Cartier Women’s Initiative เราเลยตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้มาฉลองงานนี้ที่กรุงเทพมหานครด้วยกัน และถือเป็นโอกาสที่ดีในการทบทวนสิ่งที่เราได้ทำมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มต้นจากงานแจกรางวัลจนพัฒนาเป็นโครงการเต็มรูปแบบ
เราหวังว่าจะใช้โอกาสนี้มองไปยังอนาคต และระดมพลังจากเครือข่ายที่เราสร้างขึ้น เพื่อร่วมกำหนดทิศทางข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งต่อไป เรายังคงสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวก ดังนั้น การมาประเทศไทยครั้งนี้จึงเป็นทั้งการเฉลิมฉลองให้กับผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ และการรำลึกถึงการเดินทางของเราในตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่จัดงานในเมืองต่าง ๆ เรามักเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงและการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม รวมถึงในประเทศไทยด้วย ซึ่งปีนี้ เราตั้งใจจะย้อนกลับไปทบทวนช่วงเวลาสำคัญเหล่านั้น และนำความทรงจำดี ๆ กลับมาอีกครั้งในการจัดงานครั้งถัดไป

GC: ทำไมถึงเลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2026 คะ?

วินจี ซิน: Cartier Women’s Initiative เดินทางไปจัดงานในหลายเมืองทั่วโลกทุกปี และในช่วงหลัง ๆ เราก็ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะการเติมเต็มความหลากหลายของภูมิภาคด้วยการเลือกเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และเพราะว่าประเทศไทยโดดเด่นในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศบนโลกที่ประสบความสำเร็จในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก จากข้อมูลของ Global Entrepreneurship Monitor ประเทศไทยก็รักษาความสำเร็จนี้ได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น ผู้ประกอบการในไทยยังมีแรงจูงใจที่แข็งแกร่งในการสร้างธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา ทั้งในแง่ของการเฉลิมฉลองและการเรียนรู้
เราเข้าใจดีว่าการจัดตั้งนิติบุคคลประเภท ‘กิจการเพื่อสังคม’ หรือ ‘social enterprise’ ในประเทศไทยเพิ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการมาได้ประมาณ 5-6 ปี แต่ธุรกิจลักษณะนี้มีอยู่และทำงานอย่างแข็งขันมานานก่อนหน้านั้นแล้ว เราจึงยินดีมากที่เห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ใช้ธุรกิจเป็นเครื่องมือในการสร้างผลกระทบเชิงบวก และเราก็ตั้งตารอที่จะได้มาเยือนประเทศไทยและพบกับหลาย ๆ ท่านในปีหน้านี้

GC: ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย มีผู้หญิงไทยกี่คนที่ได้รับเลือกเข้าร่วม Cartier Women’s Initiative?

วินจี ซิน: ขอเริ่มตอบจากภาพรวมของความท้าทายที่ผู้ประกอบการหญิงในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญนะคะ เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความหลากหลายมาก อย่างในเอเชียใต้ เราได้รับใบสมัครจำนวนมากจากอินเดีย ซึ่งมีระบบนิเวศของผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ค่อนข้างพัฒนาแล้ว มีโปรแกรมสนับสนุนที่เข้มแข็ง และฐานผู้ประกอบการที่กว้างขวาง ด้วยจำนวนประชากรและความท้าทายทางสังคม ทำให้ผู้ประกอบการที่นั่นขยายผลกระทบในระดับท้องถิ่นได้ง่าย ส่วนสิงคโปร์ ก็มีเงินทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลในระดับสูง ทำให้การสร้างธุรกิจเพื่อสังคมในสิงคโปร์เข้าถึงได้ง่ายกว่า

สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ Cartier Women’s Initiative เราได้รับใบสมัครจากผู้ประกอบการหญิงไทยที่มีความตั้งใจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เราภูมิใจมากที่ในช่วงที่ผ่านมา มี fellow ชาวไทยได้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายของเรา รวมทั้งยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากไทยที่เคยเข้าร่วมคณะกรรมการคัดเลือกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรามี fellow จากไทยที่ผ่านโครงการของเราหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งเราก็ตื่นเต้นและภูมิใจในความสำเร็จนี้มากค่ะ

GC: คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการหญิงไทยยังมีจำนวนไม่มากนักในการเข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative

วินจี ซิน: ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมบางประเทศถึงมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่าประเทศอื่น โดยไม่ใช่แค่การ “หาผู้ประกอบการเพิ่ม” อย่างเดียว เช่น ในสิงคโปร์ มีโปรแกรมสนับสนุนที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ทำให้เราไม่ต้องทำการประชาสัมพันธ์หรือเชิญชวนมากนัก

แต่ในประเทศไทย แม้จะมีกฎหมายรองรับกิจการเพื่อสังคมและมีธุรกิจที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกเพิ่มขึ้น ใบสมัครเข้าร่วมโครงการกลับไม่ได้เพิ่มมากตามไปด้วย

เราคิดว่าสาเหตุหลักมาจากเรื่องการรับรู้ค่ะ เราไม่แน่ใจว่าผู้ประกอบการไทยรู้จักโครงการของเรามากน้อยแค่ไหน อีกทั้งโครงการของเราเป็นระดับนานาชาติและใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการที่ถนัดใช้ภาษาไทยและเน้นผลกระทบในระดับท้องถิ่น รู้สึกว่ายากหรือไม่ตรงกับความต้องการของตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ เราจึงตั้งใจเพิ่มการรับรู้และสร้างความเข้าใจว่าโครงการนี้เป็นแหล่งสนับสนุนที่มีคุณค่าจริง และอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการไทยเห็นว่างานของพวกเขาสามารถขยายผลกระทบในระดับที่กว้างขึ้นได้
เราจึงร่วมมือกับ Cartier Thailand และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เพื่อจัดโครงการ Cartier Women’s Initiative ในรูปแบบที่ปรับให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยปีนี้เราได้สนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคมกว่า 50 คน ด้วยเนื้อหาทั้งหมดเป็นภาษาไทย พร้อมทั้งได้รับความเชี่ยวชาญจากทีมงานจุฬาฯ

เป้าหมายของเราคือช่วยให้ผู้เข้าร่วมพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น และบางคนอาจตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการระดับโลกในอนาคต ปีนี้เราจึงเห็นจำนวนใบสมัครจากประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และรอติดตามว่าจะสามารถต่อยอดไปได้อย่างไรบ้างค่ะ

ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่ https://www.facebook.com/CartierWomensInitiative