ถอด 6 สัญญะความยั่วยวนและอัตลักษณ์เลสเบียนในภาพคอนเซปต์ ‘Tilt’ ของ IRENE & SEULGI

Post on 19 May 2025

ทันทีที่ภาพ ‘หอยนางรมและไข่มุก’ ถูกปล่อยออกมาในฐานะส่วนหนึ่งของภาพคอนเซปต์อัลบั้ม Tilt โดยยูนิต IRENE & SEULGI จากวง Red Velvet ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะบางส่วนรู้สึกว่าเป็นคอนเซปต์ที่เน้นทางเพศชัดเจนเกินไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาภาพคอนเซปต์ของ ‘Tilt’ ที่ปล่อยออกมา ไม่ได้มีแค่ภาพหอยนางรมเท่านั้นที่สื่อสารเรื่องทางเพศ แต่ยังมีภาพสัญลักษณ์อีกมากมายที่สะท้อนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถ้าเหล่าแอนตี้ได้รู้ว์ อาจจะกระอักเลือดกันอีกก็ได้ 🫢

ก่อนที่อัลบั้มจะเปิดตัวในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ เราขอพาชาวลัฟวี่ไปถอดรหัส 6 สัญญะที่สะท้อนอัตลักษณ์ทางเพศ พลังของผู้หญิง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของผู้หญิงกับผู้หญิง ที่ปรากฏในคอนเซปต์ Tilt ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในคอนเซปต์ที่ “queer-coded” ได้อย่างเฉียบคมและซับซ้อนที่สุดของ K-pop

ส้อมในฐานะสัญลักษณ์ทางเพศหญิง

ส้อมได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศในวรรณกรรมและวัฒนธรรม ด้วยรูปร่างและหน้าที่ของมัน ซึ่งเหมาะสมกับอุปมาเกี่ยวกับการเจาะ การรวมกัน และปฏิสัมพันธ์ของบทบาทเพศ สัญลักษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมที่กว้างขวางกว่าของการใช้วัตถุในชีวิตประจำวันเพื่อแทนความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องเพศ การสร้าง และความสัมพันธ์ของมนุษย์

ส้อมเป็นวัตถุในชีวิตประจำวันที่ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางเพศในวรรณกรรมและวัฒนธรรมต่าง ๆ เนื่องจากรูปร่างที่แหลมและปลายแฉกของมันสะท้อนถึงการเจาะ การรวมตัว และการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับบทบาทและพลวัตทางเพศ ส้อมจึงกลายเป็นอุปมาที่เหมาะสมในการพูดถึงเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ และการสร้างชีวิต โดยสะท้อนผ่านการใช้ภาษาทางอ้อม เช่น คำว่า “forking” ที่ใช้แทนคำหยาบ “fucking” เพื่อพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างสุภาพหรือล้อเลียน รวมถึงในวัฒนธรรมย่อยออนไลน์ที่มอบอัตลักษณ์หรือบทบาททางเพศให้กับวัตถุในครัวเรือน เช่น ส้อม ช้อน และมีด โดยส้อมมักแสดงบทบาทที่ “กระทำ” ในความสัมพันธ์ทางเพศ

ในเชิงอุปมา รูปร่างของส้อมยังสื่อถึงการแยกออกและการประสานกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะของการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ส้อมยังปรากฏในวัฒนธรรม BDSM ผ่านการตีความอุปกรณ์ทรมานในยุคกลางอย่าง “Heretic’s fork” ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนอำนาจโดยสมัครใจและการสำรวจความไว้วางใจในความสัมพันธ์ทางเพศอย่างมีขอบเขต

คำว่า “fork” ยังเคยเป็นสแลงที่หมายถึงเพศสัมพันธ์หรืออวัยวะเพศหญิง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการเปรียบเทียบกับขาที่แยกออกเหมือนซี่ของส้อม วลีต่าง ๆ เช่น “to have a bit of fork” หรือ “to hawk one’s fork” สะท้อนมุมมองเรื่องเพศและบริการทางเพศในวัฒนธรรมยุคนั้น อีกทั้ง “forking” ยังหมายถึงท่าทางทางเพศที่ผู้คนมีเพศสัมพันธ์กันโดยมีขาไขว้ประสานคล้ายซี่ส้อม ซึ่งสื่อถึงความใกล้ชิดและการสัมผัสทางกายภาพโดยตรงมากกว่าท่าอื่น ๆ อย่าง “spooning” นอกจากนี้ ในบางบริบทคำว่า “fork and spoon” ยังถูกใช้เป็นคำเปรียบเปรยถึงท่า 69 หรือการเล้าโลมกันทางปากพร้อมกัน

ในทางการแพทย์ คำว่า “fourchette” ซึ่งแปลว่า “ส้อม” ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึงบริเวณรอยพับของผิวหนังด้านหลังปากช่องคลอด ที่เกิดจากการเชื่อมกันของแคมเล็ก แคมใหญ่ และฝีเย็บ มีรูปร่างคล้ายตัว Y และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการคลอด ซึ่งมักเป็นบริเวณที่เกิดการฉีกขาดในระหว่างคลอด

โดยรวมแล้ว ส้อมจึงเป็นมากกว่าเครื่องมือบนโต๊ะอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางเพศ อำนาจ ความใกล้ชิด และบทบาทของร่างกายในวัฒนธรรมมนุษย์อย่างลึกซึ้งและหลากหลายมิติ

ตะปู: สัญลักษณ์แห่งการควบคุมและความยินยอม

ในบริบทของความสัมพันธ์ทางเพศ โดยเฉพาะในรูปแบบ BDSM วัตถุธรรมดาอย่างตะปู เหล็กแหลม หรือโบลต์ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือช่างอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนพลวัตของอำนาจระหว่าง “ผู้ครอบงำ” (Dominant) และ “ผู้ยอมจำนน” (Submissive)

รูปร่างของตะปูที่แข็งแรง แหลมคม และมีหน้าที่ “เจาะ” หรือ “ตรึง” ทำให้มันถูกตีความในเชิงอีโรติกว่าเป็นตัวแทนของการแทรกซึม ความครอบครอง และความใกล้ชิดทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเจาะในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงแค่การร่วมเพศ แต่ยังสื่อถึงพลัง การควบคุม และสถานะความเป็นเจ้าของในความสัมพันธ์

คุณสมบัติของตะปูในการ “ยึดตรึง” หรือ “สร้างความมั่นคง” ยังสะท้อนหัวใจสำคัญของวัฒนธรรม BDSM นั่นคือ “ความยินยอม” และ “ข้อตกลงร่วมกัน” การควบคุมในลักษณะนี้ไม่ได้มาจากการบังคับขู่เข็ญ แต่เกิดจากความไว้ใจ การสื่อสาร และการแบ่งปันอำนาจ ตะปูจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางอารมณ์ และขอบเขตที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมร่วมกันอย่างชัดเจน

ในภาษาอังกฤษ คำว่า “nail” ยังถูกใช้เป็น คำสแลงทางเพศ โดยวลี “to nail someone” หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์กับใครบางคน มักใช้ในบริบทไม่เป็นทางการ หรือมีน้ำเสียงรุนแรง หยาบคาย และเน้นที่ “การกระทำ” มากกว่าความรู้สึกหรือความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ การใช้คำนี้บางครั้งสื่อถึงการครอบงำ หรือแม้แต่การลดคุณค่าอีกฝ่ายให้เป็นเพียงวัตถุทางเพศ

คำว่า “nail” ในความหมายเชิงเพศนี้ มีบันทึกการใช้ย้อนไปได้ไกลถึงศตวรรษที่ 18 บางแหล่งข้อมูลเชื่อว่า ต้นกำเนิดอาจมาจากกะลาสีเรือชาวอังกฤษที่เดินเรือมายังเกาะตาฮีตี และแลก “ตะปูโลหะ” กับบริการทางเพศจากหญิงพื้นเมือง ซึ่งการแลกเปลี่ยนนี้ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่าง “ตะปู” กับ “เพศสัมพันธ์” อย่างเป็นรูปธรรม และทำให้ “nail” กลายมาเป็นคำเปรียบเทียบเชิงสื่อความหมายของการเจาะทะลุหรือร่วมเพศในเวลาต่อมา

“ไข่” สัญลักษณ์แห่งชีวิต ความรัก และพลังหญิง

ไข่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งที่สุดเกี่ยวกับเรื่องเพศ โดยเฉพาะในแง่มุมของความอุดมสมบูรณ์ การสร้างชีวิต และพลังของการให้กำเนิด ด้วยลักษณะทางชีววิทยาและรูปลักษณ์ภายนอก ไข่จึงกลายเป็นตัวแทนของความสามารถในการเจริญพันธุ์ของเพศหญิงอย่างชัดเจน ในวัฒนธรรมหลากหลาย ไข่ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องรางหรืออาหารที่ช่วยกระตุ้นพลังทางเพศ และเพิ่มโอกาสในการมีลูก

นอกจากสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์แล้ว ไข่ยังสามารถแสดงออกถึงการสูญเสียพรหมจรรย์หรือความปรารถนาทางเพศที่ถูกกดทับ การที่ไข่มีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก จึงมักถูกเปรียบเปรยว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์หรือเพศหญิงที่ยังไม่ถูกแตะต้อง เมื่อเปลือกไข่ถูกทำลาย นั่นก็เป็นสัญญะของการเปลี่ยนผ่าน การตื่นรู้ทางเพศ หรือประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก

ในอีกด้านหนึ่ง ไข่ยังมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับแนวคิดเรื่อง "ความเป็นผู้หญิงศักดิ์สิทธิ์" หรือ "พลังหญิง" (Divine Feminine) เพราะมันเป็นสื่อกลางของชีวิตและการเปลี่ยนแปลง เปลือกไข่ที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตภายใน สะท้อนถึงบทบาทของแม่หรือเทพีผู้หญิงที่โอบอุ้มและปกป้องชีวิต ความกลมกลึงของไข่ยังแสดงถึงความเปิดรับและความสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะหลักของพลังผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับครรภ์ การให้กำเนิด และการดูแลเอาใจใส่

ในเชิงจักรวาล ไข่ยังปรากฏในตำนานโบราณหลายแห่งในฐานะ "ไข่จักรวาล" หรือจุดกำเนิดของโลกและเทพเจ้า เช่น ในศาสนาฮินดูมีแนวคิดเรื่อง "Brahmanda" หรือไข่จักรวาลที่ภายในบรรจุเอกภพทั้งหมดไว้ ก่อนจะแตกออกและก่อกำเนิดทุกสิ่งขึ้นมา ความเชื่อเช่นนี้ยังพบได้ในอียิปต์โบราณและตำนานของชนเผ่าต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งล้วนสะท้อนแนวคิดเดียวกันว่า พลังแห่งเพศหญิงคือศูนย์กลางของการสร้างสรรค์และการดำรงอยู่ของจักรวาล

ไข่จึงไม่ใช่แค่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยาหรือการบริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องเพศ ความเป็นแม่ จิตวิญญาณ และจักรวาลเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้งและเปี่ยมความหมาย

หอยนางรมในฐานะสัญลักษณ์ทางเพศที่เชื่อมโยงกับอวัยวะเพศหญิงและเลสเบียน

หอยนางรมและเนื้อในของมันถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศหญิงและเพศหญิงโดยรวมมาอย่างยาวนาน ทั้งจากรูปร่าง ลักษณะทางกายภาพ และบริบททางวัฒนธรรมที่สื่อถึงความเย้ายวนและความอุดมสมบูรณ์ทางเพศ

รูปร่างของหอยนางรมเมื่อเปิดออกมีความละม้ายคล้ายกับอวัยวะเพศหญิง โดยเฉพาะแคม (vulva) ลักษณะของเนื้อหอยที่ชื้น ลื่น และนุ่ม ยิ่งเสริมความรู้สึกของการสัมผัสที่สัมพันธ์กับเรือนร่างสตรี การกินหอยนางรมดิบจากเปลือกยังถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เย้ายวนใจและเต็มไปด้วยนัยทางเพศ ทำให้หอยนางรมกลายเป็นอาหารที่มีภาพจำด้านความใคร่

ตั้งแต่ยุคโรมัน หอยนางรมถูกจัดว่าเป็นยาโด๊ปหรือ อาหารปลุกอารมณ์ ที่เชื่อกันว่าสามารถกระตุ้นความต้องการและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จึงมักปรากฏในงานเฉลิมฉลองที่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์ หรือแม้แต่ในงาน ออร์จี แพทย์ในยุคนั้น เช่น กาเลน ยังแนะนำหอยนางรมในฐานะอาหารกระตุ้นราคะ

The Birth of Venus (c. 1484–1486) โดย Sandro Botticell

The Birth of Venus (c. 1484–1486) โดย Sandro Botticell

ในโลกของศิลปะและวรรณกรรม หอยนางรมเป็นสัญลักษณ์ของความงาม ความอุดมสมบูรณ์ และพลังทางเพศของผู้หญิง เทพีแห่งความรักอย่างอะโฟรไดท์ (หรือวีนัสในโรมัน) มักถูกวาดภาพเกิดจากเปลือกหอยกลางทะเล สื่อถึงการเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต ความรัก และเพศหญิง

หนึ่งในตัวอย่างเด่นของการใช้หอยนางรมในเชิงสัญลักษณ์คือ Tipping the Velvet (1998) ของ ซาราห์ วอเทอร์ส ซึ่งเป็นนวนิยายแนววิกตอเรียนร่วมสมัย ตัวเอกของเรื่อง “แนนซี่” ทำงานขายหอยนางรม และค้นพบอัตลักษณ์เลสเบี้ยนของตนผ่านความสัมพันธ์กับผู้หญิง หอยนางรมในเรื่องจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความลื่นไหลทางเพศ ความเร้าอารมณ์ และอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

คุณสมบัติทางชีววิทยาของหอยนางรมที่สามารถเปลี่ยนเพศได้ ยังถูกใช้สะท้อนถึงความลื่นไหลของอัตลักษณ์ทางเพศของแนนซี่ และการเปรียบเทียบแบบอีโรติกของเนื้อหอยที่เปิดออก ยิ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์หญิง-หญิง วอเทอร์สใช้หอยนางรมเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน สื่อถึงความหิวกระหายทางเพศ การแสดงออกทางเพศ และความไม่ลงรอยกับกรอบทางสังคมของยุควิกตอเรียน

นอกจากนี้ วลี "tipping the velvet" เป็นสแลงโบราณในยุควิกตอเรีย หมายถึงการทำออรัลเซ็กซ์ให้ผู้หญิง หรือที่เรียกว่า cunnilingus ซึ่งคำนี้มาจากการรวมคำว่า "tipping" ที่หมายถึงการใช้ปลายลิ้น กับคำว่า "velvet" ซึ่งเป็นคำอุปมาอุปไมยที่หมายถึงทั้งลิ้นและช่องคลอด จึงสื่อถึงการกระตุ้นผู้หญิงทางปากนั่นเอง

อีกทั้งยังมีนิตยสารอีโรติกในยุควิกตอเรียอย่าง The Oyster และ The Pearl ที่เล่นกับสัญลักษณ์ของหอยและไข่มุก เพื่อพูดถึงความบริสุทธิ์ที่พร้อมจะถูกบริโภคในเชิงกามารมณ์ เป็นภาพแทนของผู้หญิงที่อยู่ในสภาวะ "พร้อม" ทางเพศ และสะท้อนถึงความสัมพันธ์หญิง-หญิงในเชิงลึก

รองเท้าส้นสูง: สัญลักษณ์แห่งเพศและอำนาจของผู้หญิง

นักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยอธิบายว่า ‘รองเท้าส้นสูง’ เป็นวัตถุที่มีความหมายทางเพศอย่างลึกซึ้งภายใต้กรอบจิตวิเคราะห์ โดยเขาเปรียบรองเท้าเป็น สัญลักษณ์ของอวัยวะเพศหญิง (ช่องคลอด) และเท้าเป็น สัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย (องคชาต) ซึ่งเมื่อเท้า “สอด” เข้าไปในรองเท้า จึงสื่อถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยนัย ใน Three Contributions to the Theory of Sex (1905) เขาระบุว่ารองเท้าเปรียบเสมือน "ภาชนะของช่องคลอด" ที่สื่อสารแรงปรารถนาเพศอย่างแฝงเร้น

โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง ซึ่งเน้นเส้นโค้งของเท้าและขา ฟรอยด์เห็นว่าสื่อถึงความเย้ายวนใจและท่าทีแห่งการยั่วยวนอย่างชัดเจน การยกส้นเท้าในขณะสวมส้นสูงเป็นท่าทางที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และสะท้อนพลวัตทางอำนาจระหว่างเพศชายและหญิง กล่าวโดยรวม ฟรอยด์มองว่ารองเท้าส้นสูงเป็น ส่วนขยายของร่างกาย ที่หลอมรวมสัญลักษณ์ทั้งชายและหญิง เป็นเครื่องมือสื่อสารแรงปรารถนาและบทบาทเพศที่ซับซ้อน

ซัลวาดอร์ ดาลี สานต่อแนวคิดของฟรอยด์ โดยนำเสนอรองเท้าส้นสูงในฐานะ วัตถุฟติช ที่เชื่อมโยงกับ ความปรารถนาอีโรติก และความหมกมุ่นใต้จิตสำนึก ดาลีมักใช้รองเท้าสตรีในงานศิลปะเหนือจริง เช่น Surrealist Object Functioning Symbolically (1931) ที่นำรองเท้าส้นสูงมาประกอบกับขนเพชร แก้วนม และภาพถ่ายอีโรติก เพื่อสะท้อนฟติชทางเพศและการแปรเปลี่ยนของแรงปรารถนา

ดาลียังใช้รองเท้าส้นสูงเป็นสัญลักษณ์แทน กาลา ภรรยาและมิวส์ของเขา โดยเชื่อมโยงความเป็นผู้หญิงกับพลังทางเพศและความหลงใหลส่วนบุคคล ผลงานร่วมกับ เอลซา สเคียปาเรลลี อย่าง Shoe Hat (1937–1938) ยิ่งตอกย้ำการนำรองเท้าเข้าสู่พื้นที่ศิลปะแฟชั่น เพื่อวิพากษ์และเสริมพลังเพศหญิงในรูปแบบเหนือจริง

Surrealist Object Functioning Symbolically (1931)

Surrealist Object Functioning Symbolically (1931)

Shoe Hat (1937–1938)

Shoe Hat (1937–1938)

แม้ว่ารองเท้าส้นสูงจะถูกมองว่าเป็นเครื่องหมายของความยอมจำนนทางเพศของผู้หญิง ดาลีกลับตีความใหม่ให้กลายเป็น เครื่องมือแสดงอำนาจ ผ่านท่าทีเหนือจริง เขานำเสนอผู้หญิงในบทบาทของผู้ควบคุม มีความต้องการ และครอบงำเชิงเพศ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว ศิลปะของเขาจึงไม่เพียงท้าทายแนวคิดเพศแบบชาย-หญิงเท่านั้น แต่ยังเสนอให้เห็นว่า ความเป็นผู้หญิงสามารถเป็นแหล่งพลังที่ผู้หญิงควบคุมได้เอง

สำหรับฟรอยด์และดาลี รองเท้าส้นสูงจึงเป็นมากกว่าเครื่องแต่งกาย แต่เป็นวัตถุที่สื่อสารความหมายทางเพศ อำนาจ และอัตลักษณ์ อย่างลึกซึ้ง

ฝาแฝดหรือดอปเปิลแกงเกอร์ ภาพสะท้อนของอัตลักษณ์เควียร์ ความปรารถนา และการท้าทายเพศวิถีแบบดั้งเดิม

แนวคิดเรื่อง “ดอปเปิลแกงเกอร์” (doppelgängers) ในบริบทของวัฒนธรรมเควียร์ รวมถึงในวัฒนธรรมเลสเบี้ยน มักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนประเด็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ความปรารถนา และการท้าทายบทบาททางเพศและเพศวิถีแบบดั้งเดิม (heteronormative) ดอปเปิลแกงเกอร์ในที่นี้หมายถึง “ภาพสะท้อนของตัวตนคู่” หรือ “ตัวตนที่เหมือนกันสองคน” ซึ่งในบริบทของเลสเบี้ยนและชุมชนเควียร์ มักแสดงถึงความเหมือนกันและความผูกพันลึกซึ้งระหว่างคนรักหรือแม้แต่ระหว่างตัวบุคคลกับตัวเอง

การที่ดอปเปิลแกงเกอร์ถูกนำมาใช้ในวัฒนธรรมเควียร์ เป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาแบบที่ไม่ยึดติดกับการแบ่งแยกแบบเพศชายและหญิง หรือความแตกต่างที่เป็นรากฐานของสังคมแบบ heteronormative ตรงกันข้าม มันสะท้อนถึงความรักและความปรารถนาในรูปแบบของการเห็นตัวเองเป็นคู่หรือ “เหมือนกัน” ซึ่งอาจเป็นการแสดงออกถึงความรักแบบออโตอีโรติก (autoerotic) หรือความรักในตัวเองอย่างสุดขั้ว เป็นการท้าทายโครงสร้างทางสังคมที่มักตั้งอยู่บนการแบ่งขั้วของเพศและความแตกต่าง

นอกจากนี้ สัญลักษณ์คู่ของดาวินัส (Venus) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Double Venus symbol” ซึ่งประกอบด้วยสัญลักษณ์ดาวินัสสองดวงที่เชื่อมต่อกัน เป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์แทนความรักและความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงด้วยกัน โดยสัญลักษณ์นี้มีรากฐานมาจากสัญลักษณ์ดาวินัสที่หมายถึงเพศหญิงและความงามของเทพีวีนัส เทพีแห่งความรักและความปรารถนา ในรูปแบบคู่ที่เชื่อมโยงกัน สื่อถึงความรัก ความสามัคคี และความเป็นหนึ่งเดียวในชุมชนเลสเบี้ยน

สัญลักษณ์นี้มีประวัติการใช้งานที่ยาวนานในวงการสตรีนิยมและเลสเบี้ยน โดยถูกใช้เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของผู้หญิงรักผู้หญิง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและปรากฏในงานกิจกรรม Pride เครื่องประดับ รวมถึงสื่อและศิลปะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม LGBTQ+

ในโลกภาพยนตร์ ผู้กำกับหลายคนใช้แนวคิดดอปเปิลแกงเกอร์ (ตัวตนคู่) เพื่อสำรวจอัตลักษณ์และความสัมพันธ์แบบเควียร์ เช่น ใน Persona ของ อิงมาร์ เบิร์กแมน ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างผู้หญิงสองคน คือ เอลิซาเบ็ตและอัลมา ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน เส้นแบ่งระหว่างตัวตนและความปรารถนาในเรื่องนี้จึงเลือนลาง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกินกว่าความสัมพันธ์แบบหมอ-คนไข้ทั่วไป สื่อถึงความผูกพันทางอีโรติกและจิตใจในรูปแบบที่คลุมเครือและลื่นไหลทางเพศ

เช่นเดียวกับ Mulholland Drive ของ เดวิด ลินช์ ที่ใช้ตัวตนคู่สะท้อนความสัมพันธ์เลสเบี้ยนระหว่าง ไดแอน เซลวิน และ เบ็ตตี้ เอล์มส์ (หรือ ริต้า) ซึ่งอาจเป็นสองเวอร์ชันของผู้หญิงคนเดียวกัน เรื่องราวเบลอเส้นแบ่งระหว่างจริงและจินตนาการ สะท้อนความขัดแย้งภายใน ความปรารถนาเก็บงำ และความเจ็บปวดในอัตลักษณ์ของตัวละคร ทั้งยังสะท้อนประเด็นอำนาจและความหึงหวงในความสัมพันธ์

อ้างอิง

Book Chapter: Historicizing Sexual Symbols
Artistic Symbols: Freudian and Otherwise
Culture, Society and Sexuality
slate
Electronic Journal of Human Sexuality, Volume 16, February 28, 2013
nathanaelchong
lundeggs
OYSTER SYMBOLISM IN THE ART OF PAINTING
doubledialogues
Footwear on, underwear off: fetishism and brand eroticization
Revolting Doubles: Radical Narcissism and the Trope of Lesbian Doppelgangers