กนกวรรณ สุทธัง: ทำให้วัชพืชเล็ก ๆ ส่งเสียงได้ ด้วย ‘ศิลปะเชิงสังเกต’

Post on 21 April

กนกวรรณเริ่มเป็นที่จับตามองหลังเข้าร่วมโครงการ ‘EARLY YEARS PROJECT #7: A change in the paradigm’ เมื่อปี 2567 ซึ่งเธอสร้างงาน ‘หินในข้าว’ แผนภาพบนกระสอบข้าวขนาดใหญ่ ที่ไล่เรียงเส้นทางของข้าว และหินที่ปะปนอยู่ในนั้น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์เคี้ยวข้าวและเจอก้อนหินในนั้นของเธอ ซึ่งทำให้เราได้ทบทวนกระบวนการผลิตอาหารทั้งหมด ไปสู่ปัญหาระดับใหญ่ ๆ ในระบบการเกษตร จากแค่สิ่งเล็ก ๆ

ในงาน ‘Worm Brick’ เธอทำเซรามิกรูปอิฐตัวหนอน วัสดุก่อสร้างพื้นฐานที่พบได้ตามทางเดินทั่วไป แต่กลายมาเป็นที่ทับกระดาษ ที่ออกแบบมาให้ปักดอกไม้ดอกหญ้าหรือวัชพืชทั่วไปข้างทางไปด้วยได้ เป็นเหมือนคำชวนให้มาลองชื่นชมสิ่งเล็ก ๆ ที่อาจไม่ถูกมองเห็นเท่าดอกไม้ยอดนิยม และล่าสุดกับผลงาน ‘Touch-me-not’ เธอชวนให้เรามอง ‘ไมยราบ’ วัชพืชที่จะหุบใบลงเมื่อถูกเราสัมผัสตัว

ในบทสัมภาษณ์นี้ เธอเล่าถึงที่มาความสนใจในสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ วิธีการสำรวจโลกรอบตัวของเธอ และสิ่งที่เธอพบจากการก้าวเข้าไปในโลกเล็ก ๆ เหล่านั้น

เริ่มต้นจาก “ความรู้สึก”

ศิลปะหรือศิลปินโดยทั่วไป มักจะถ่ายทอดธรรมชาติรอบข้างในรูปแบบภาพวิวภูมิทัศน์กว้างไกลสุดตา เหมือนเวลาเราสำรวจโลกแล้วมองเห็นไปได้ทั่วทุกทิศทาง หรือเราเองเวลาเดินบนท้องถนนก็คงเงยหน้าเห็นแต่ป้ายบนตึก มากกว่าก้มมองต้นหญ้าที่ปลายเท้า แล้วอะไรทำให้ศิลปินคนนี้เริ่มต้นมองและเข้าไปสำรวจโลกจากสายตาของสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นผ่านงานศิลปะ คำตอบของเธอเรียบง่าย แต่กลับดูมีความหมายมากมายต่อการใช้ชีวิตบนโลกนี้

“มันเริ่มจากแค่มองเห็นอะไรแล้วรู้สึกว่ามันน่ารักดี พวกสิ่งที่คนมองผ่านไป แล้วพอมองมันก็เห็นความเฉพาะตัวของแต่ละอย่างเอง ว่ามันมีเรื่องราวของมัน ที่อาจจะดูธรรมดาจนมันไม่จำเป็นต่อชีวิตเราว่าจะรู้ไปทำไม อย่างเช่นวัชพืช เราจะคุ้นหน้ามันตลอดเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่รู้เลยว่ามันชื่ออะไร มีหน้าที่อะไร หรือตัวตนมันเป็นอย่างไร แต่แค่เราเริ่มสนใจมันจากรูปลักษณ์ที่เห็นบ่อย ๆ แล้วค่อย ๆ เข้าไปสังเกต เริ่มทำความรู้จักโลกของมัน มันก็สนุกดีเหมือนกัน” เธอบอก

“มันเริ่มจากตอนเข้าโครงการ Early Years Project เราเริ่มกลับมาทำงานศิลปะ หลังจากที่เรียนจบมาแล้วก็ทำงานกราฟิกดีไซน์ แล้วก็รู้สึกโหยหาการทำงานกับตัวเองแบบนี้ ซึ่งเรื่องหินที่อยู่ในข้าวมันเกิดมาจากประสบการณ์ของเรา ที่นั่งกินข้าวอยู่ แล้วก็สงสัยว่าหลัง ๆ มานี้เราเคี้ยวไม่เจอหินแล้ว มันหายไป ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็ก ๆ เจอบ่อยมาก เป็นความรู้สึกในปาก”

“เราก็เลยไปหาต่อ ว่าตอนเด็ก ๆ เรากินข้าวที่บ้าน แต่พอโตมาก็ซื้อข้าวกินเอง มันก็อาจจะมีการคัดกรองคุณภาพบางอย่างมาแล้ว ก็เลยสงสัยว่าสิ่งที่เคี้ยวเจอตอนเด็กมันมาได้อย่างไร ทั้งหมดมันเริ่มต้นจากความรู้สึก”

“พอไปหาก็เข้าใจ ว่ากระบวนการที่ทำให้หินเข้ามาในข้าวได้มันเกิดจากการตากข้าว เพราะชาวนาไม่ได้มีเครื่องอบข้าว ก็เลยต้องตากริมทาง พอรถขับผ่านก็เลยมีเศษหินดินเข้ามาได้ หรืออย่างโรงสีเล็ก ๆ ตามหมู่บ้าน บางทีก็ไม่ได้มีเครื่องมือที่ดี ก็อาจจะมีเศษหินจากหินขัดขาวหลุดออกมาด้วยได้”

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

Photo by Bangkok Art and Culture Centre (BACC)

สืบเข้าไปในสัมผัส

ผลงานของเธอคือส่วนผสมของประสบการณ์ที่สัมผัสสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวเหล่านี้ ไม่ว่าจะสัมผัสผ่านการเคี้ยวหรือการมองรูปทรง ซึ่งอีกแง่หนึ่ง มันคือการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือศึกษาสิ่งรอบตัว โดยที่มีแนวความคิดประกอบเข้ามาด้วย เธอเล่าว่า “เริ่มต้นเลยมันก็คือการหาข้อมูลก่อน มันชื่ออะไร ชื่อมาจากไหน แล้วค่อยสำรวจตัวมันจริง ๆ ในทางกายภาพ พยายามมองมันในทุกมิติเท่าที่จะทำได้ มันคือการสังเกตแหละ”

“เราสนุกกับกระบวนการมาก กับการสืบไปเรื่อย ๆ แต่มันไม่ใช่การทำความรู้จักกันแบบเลื่อนลอยหรือด้วยความบันเทิงเท่านั้น มันคือการเรียนรู้เรื่องราวเล็ก ๆ เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมันมีเรื่องราวของมัน ซึ่งส่งผลกระทบกลับมาที่เราในทางใดทางหนึ่งด้วยอยู่ดี”

แน่นอนว่าพอมีการศึกษาลงลึก สิ่งที่เธอค้นพบก็ทำให้เห็นผลกระทบ ที่ดูเป็นเรื่องใหญ่ และใกล้ตัวมากกว่าที่คิด “วัชพืชที่อาจจะดูต้นเล็ก ๆ แต่ที่จริงก็กระจายพันธุ์มาจากที่อื่น และกระจายพันธุ์ต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดปัญหาได้ จากปรากฏการณ์สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแล้วพืชก็เปลี่ยนการกระจายพันธุ์ไป การศึกษาสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้มันไม่ใช่แค่การไปทำความรู้จักมันอย่างเดียว แต่ทำให้รู้ด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับเราอย่างไร และทำให้เห็นว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวงจรธรรมชาตินี้เหมือนกัน ทุกอย่างมันกระทบกันไปมา”

“งานศิลปะมันทำให้เล่าเรื่องอีกมุมหนึ่งที่เป็นทางเลือกมากขึ้นได้ จากคอนเซ็ปต์ตั้งต้นที่นำมาสู่กระบวนการทำงาน มันคือกระบวนการหาข้อมูล หาคำตอบ เกี่ยวกับประเด็นที่เราสนใจ”

ปรับเพื่อทำความรู้จัก

นอกจากความสวยงามที่เธอมองเห็นจากสิ่งเล็ก ๆ ซึ่งถูกมองข้ามเหล่านี้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการทำความรู้จัก ‘มุมมอง’ ของสิ่งอื่น นอกเหนือไปจากที่เรารู้จักด้วย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ได้รับผลกระทบมากมายจากระบบโครงสร้างของมนุษย์ หรือชีวิตเล็ก ๆ ที่พยายามส่งเสียงตอบสนอง เมื่อถูกสัมผัส

“ในงาน ‘หินในข้าว’ เราสร้างกระสอบข้าวขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อจะทำให้คนดูรู้สึกเล็กลงเหมือนกับอยู่ในนั้น แล้วค่อย ๆ ดูเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราไปเจอมันเยอะมาก และใหญ่มาก เกินกว่าที่เราจะไปควบคุมอะไรได้ เรารู้สึกว่าก็คงต้องกินข้าวที่มีหินต่อไป จะไปเปลี่ยนโรงสีก็คงยาก ปัญหามันเป็นเรื่องราวใหญ่โต”

“แต่กับงาน ‘Touch-me-not’ เราอยากเปลี่ยนมุมมองให้เป็นการไปสังเกตสิ่งเล็ก ๆ เราก็ยังเป็นเราคนเดิมอยู่ ขนาดเท่าเดิม มามองพืช แต่อาจจะเห็นมุมมองจากพืชมากขึ้น เพราะไมยราบเป็นพืชที่มีปฏิสัมพันธ์ได้ มีปากมีเสียง แสดงความรู้สึกได้ เคยเห็นที่เขาเอามาปลูกแบบบอนไซแล้วก็ตั้งแบบสวยงามใบบ้าน ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีการตั้งไมยราบไว้สังเกตเป็นสัญญาณของแผ่นดินไหวด้วย เป็นเหมือนสัญญาณของธรรมชาติเล็ก ๆ ที่เราอาจไม่ทันสังเกต เหมือนเวลาเราจับแล้วมันหุบ มันอาจจะมีสัมผัสบางอย่างที่เราไม่มีทางรู้เลย หรืออีกแง่หนึ่งต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่เราไปตัดมัน มันก็อาจจะรู้สึกอะไรอยู่แต่ไม่สามารถส่งเสียงได้ ถ้าเราไม่ไปสังเกต”

“เวลาเราเดินแล้วทำให้ลมพัดไปโดนไมยราบแค่นั้นมันก็หุบแล้ว แต่เราไม่ทันรู้ เพราะเรายังอยู่ในเวลาของเรา ในวัฏจักรของมนุษย์ สิ่งรอบตัวมันเร็วมาก เราก็เร็ว รถก็เร็ว สังคม ทุกอย่างมันเร็วไปหมดที่เรารับรู้ แต่สำหรับพืชมันก็มีเวลาชนิดหนึ่งของมัน ที่เราไม่ได้เห็นและไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วย เราก็ทำงานที่เป็นภาพสามมิติแบบ Lenticular ซึ่งคนดูต้องเคลื่อนไหวตำแหน่งการมองของตัวเอง แล้วถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวของเขา — ถ้าอยากเห็นเขาขยับ เราก็ต้องขยับเหมือนกัน เหมือนกับคนที่ต้องปรับตัวตนบางอย่างเพื่อจะเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติบ้าง และมีอีกชิ้นที่เป็นหนังสือกรีด (flip book) มาลองจับเล่นดูได้ ซึ่งมันทำให้เราสามารถควบคุมความเร็วในการสังเกตได้”.