ส่องคอนเซปต์งานดีไซน์ ‘NEXTOPIA’ เมื่อพื้นที่รีเทลถูกออกแบบให้เป็น ‘เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต’

Post on 13 December 2025

“เมืองในอนาคตของทุกคนหน้าตาเป็นแบบไหน?” เชื่อว่าพอได้ยินคำถามนี้ ภาพเมืองในอนาคตของแต่ละคนคงแตกต่างกันออกไป บางคนอาจนึกถึงเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำๆ บ้างก็เห็นภาพโลกดิสโทเปีย หรือบางคนอาจนึกถึงเมืองที่ทุกอย่างย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้น โดยมีธรรมชาติเข้ามายึดครองพื้นที่

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสรู้จักอีกหนึ่งไอเดียของโลกอนาคตจากโปรเจกต์ ‘NEXTOPIA’ โปรเจกต์ล่าสุดจากสยามพิวรรธน์ที่ต้องการ ‘พลิกเกม’ วงการรีเทลครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร ให้เป็นจุดเริ่มต้นในการสาธิตวิถีชีวิตแบบใหม่ เป็น ‘ต้นแบบ’ ที่เกิดจากการ Co-creation ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก 50 องค์กรนวัตกรรม พันธมิตร คู่ค้า และ กว่า 30 คอมมูนิตี้ของ Friends of NEXTOPIA เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ และสิ่งรอบตัวอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการรักษาโลกใบนี้ไว้ให้งดงามสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป

NEXTOPIA จึงเป็นมากกว่าศูนย์การค้า แต่ยังถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ เปรียบเสมือน ‘Canvas’ ผืนใหญ่ที่รวมงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีที่สุด คือการออกแบบที่ทำให้ ‘เรา’ และ ‘โลก’ อยู่ร่วมกันได้อย่างงดงามและยั่งยืน

พอเห็นไอเดียดี ๆ แบบนี้ วันนี้ เราเลยอยากพาทุกคนมาส่องคอนเซปต์งานดีไซน์ของ ‘NEXTOPIA’ ไปด้วยกันว่า พวกเขาใช้องค์ประกอบอะไรบ้างในการเนรมิตพื้นที่รีเทลแห่งนี้ ให้กลายเป็นเมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต ตามมาดูกันเลย!

Nature-Inspired Architecture
สถาปัตยกรรมที่ ‘หายใจ’ ร่วมกับมนุษย์

องค์ประกอบแรกของเมืองแห่งอนาคต NEXTOPIA คือแนวคิด Nature-Inspired Architecture ที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยของมนุษย์เท่านั้น แต่ตั้งใจพาเรากลับมาสัมผัสและเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เมื่อเดินสำรวจพื้นที่ เราจะพบ The Tree of Life เป็นจุดต้อนรับสำคัญที่นำทุกคนเข้าสู่เมืองต้นแบบแห่งนี้ เส้นสายของ The Spiral บันไดโถงที่เชื่อมโยงพื้นที่ชั้น 4, 5 และ 5A เข้าด้วยกัน ซึ่งถูกออกแบบด้วยแนวคิด Nature Inspired เส้นสายทางสถาปัตยกรรมทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติอย่างมีศิลปะ พร้อมสอดแทรกความยั่งยืนด้วยการใช้งานศิลป์จากวัสดุเหลือใช้

ที่นี่ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมจึงทำงานสอดประสาน เพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย เช่น The Cooling Waterfall น้ำตกสูง 16 เมตร ช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นให้พื้นที่โดยไม่ต้องพึ่งระบบปรับอากาศเต็มกำลัง เสริมด้วย Floor Radiant Cooling และการหมุนเวียนของอากาศบริสุทธิ์ระดับคลีนรูมทั่วทั้งอาคาร ทำให้ NEXTOPIA กลายเป็นเมืองที่คิดถึงทั้งการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และคุณภาพชีวิตของมนุษย์ที่ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติแบบแท้จริง

ตัวอย่างที่เราหยิบยกมาเหล่านี้ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชีวิตที่เติบโต เคลื่อนไหว และนำความเขียวขจีคืนสู่เมือง สะท้อนให้เห็นว่า สถาปัตยกรรมไม่ได้เป็นเพียงกำแพงคอนกรีตที่ตัดขาดมนุษย์จากโลกธรรมชาติอีกต่อไป แต่มันกำลัง ‘หายใจ’ ร่วมกับเรา ผ่านการออกแบบที่ปรับตัวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต

Aesthetic of Waste
เมื่อ ‘ขยะ’ ถูกชุบชีวิตใหม่ให้เป็นศิลป์

อีกความท้าทายของเมืองยุคใหม่คือการจัดการ ‘ขยะ’ ซึ่งเราเห็นได้ชัดเลยว่า NEXTOPIA หยิบโจทย์นี้มาสร้างคุณค่าใหม่อย่างตั้งใจ ผ่านแนวคิดที่ว่า เศษวัสดุเหลือใช้ก็สามารถกลับมามีความงามได้อีกครั้ง เราจึงเห็นงานอินทีเรียดีไซน์ภายใน NEXTOPIA สร้างขึ้นมาจากขยะ เช่น The Forest Canopy และ The Ocean Canopy ที่นำวัสดุรีไซเคิลรวมถึงขยะทะเลมาปรับโฉมเป็นศิลปะลอยตัวบนเพดาน เปลี่ยนสิ่งที่เคยถูกมองข้ามให้กลับมาเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์พื้นที่

การออกแบบนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า ความสวยงามสามารถมาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อโลกได้ NEXTOPIA เลยออกแบบโครงการคัดเลือกวัสดุก่อสร้างที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกเมทัลชีทรีไซเคิลได้สูงจาก BlueScope วัสดุลดมลภาวะจาก TPI Polene, Vanachai Group และ Saint-Gobain ไปจนถึงสีสูตร Ultra Low VOCs จาก TOA ที่ปล่อยสารระเหยต่ำ พร้อมสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยกลิ่นสนธรรมชาติจาก JOURNAL เป็นต้น

ทั้งหมดนี้สะท้อนความตั้งใจในการเปลี่ยนมุมมองของผู้คนต่อวัสดุรีไซเคิล ให้เห็นว่าความงามในรูปแบบใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้หลัก Circular Economy พร้อมกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาสร้างวัสดุปลอดภัยและดีต่อโลกมากขึ้น เพื่อปูทางสู่เมืองที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

Interactive Art & Sensory Design
ศิลปะแห่งผัสสะที่ ‘สื่อสาร’ และ ‘โต้ตอบ’ ได้ ผ่านเทคโนโลยี

หากอยากผลักดันให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงได้จริง การสร้าง ‘การตระหนักรู้’ ก็จำเป็น NEXTOPIA จึงผสานเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะดิจิทัลเพื่อสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อมให้จับต้องได้มากขึ้น ผ่านผลงาน The Globe ประติมากรรมดิจิทัลที่ได้รับความร่วมมือและข้อมูลจาก Plan B Media, NASA และ GISTDA แสดงข้อมูลสภาพภูมิอากาศโลกแบบเรียลไทม์ให้ผู้ชมเห็นสถานการณ์จริงของโลกใบนี้ในทุกวินาที

ในขณะเดียวกัน โครงการยังออกแบบการมีส่วนร่วมของมนุษย์ผ่าน The Kinetic Floor ที่พัฒนาร่วมกับ Bangkok Cable และ สจล. (KMITL) ซึ่งเปลี่ยนพลังงานการเดินของเราให้กลายเป็นไฟฟ้าและแสงสีที่ตอบสนองแบบโต้กลับทันที เสริมด้วย AR Binoculars เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกและขยายประสบการณ์การเรียนรู้

เมื่อข้อมูลได้รับการแปลให้เป็นประสบการณ์ทางศิลปะ เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เคยดูไกลตัวก็กลายเป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ผู้คนได้เห็นผลกระทบ และรับรู้ว่าการกระทำเล็ก ๆ ของตัวเองก็สามารถสร้างพลังงานให้โลกได้ แค่เสี้ยวความรู้สึกเล็ก ๆ นี้ ก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อร่วมดูแลโลกอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้แล้ว