สำรวจเกร็ดประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และองค์ประกอบความ Gothic ที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ Wednesday

Post on 6 August 2025

“เด็กวันจันทร์หน้าตาสวยสะ
เด็กวันอังคารสง่างามนัก
ส่วนเด็กวันพุธทุกข์ทนเหลือคณา”

ในตอนที่ ชาร์ลส์ แอดดัมมส์ แนะนำให้ผู้อ่านชาวอเมริกันรู้จักกับครอบครัวหลอนจิตอย่าง ‘The Addams Family’ เป็นครั้งแรกในปี 1938 ในรูปแบบของการ์ตูนสามช่องที่ลงในนิตยสาร The New Yorker ตัวละครแต่ละตัวยังไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม หรือแม้กระทั่งลักษณะนิสัยเฉพาะของตัวเอง กระทั่งเรื่องราวของครอบครัวแอดดัมส์โลดแล่นผ่านสายตาผู้อ่านชาวอเมริกันมาได้ 25 ปี และกำลังจะถูกดัดแปลงไปโลดแล่นต่อบนจอแก้วในปี 1964 นั่นเองที่สมาชิกแต่ละคนครอบครัวแอดดัมส์ได้มีชื่อเป็นของตัวเอง อันเป็นที่มาของการที่ผู้ให้กำเนิดครอบครัวขนหัวลุกอย่างชาร์ลส์ แอดดัมส์ หันไปหยิบท่อนหนึ่งในเนื้อเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านอย่าง ‘Monday’s Child’ มาเป็นแรงบันดาลใจในการมอบชื่อ ‘Wednesday’ ให้กับตัวละครลูกสาวคนโตของบ้าน ที่มีเอกลักษณ์เป็นความหม่นหมองและอยู่ในโลกมืดตามเนื้อเพลง

นอกจากการอ้างอิงชื่อตัวละครเอกจากเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านแถบยุโรปที่ไม่ปรากฏที่มา แต่ถูกพบเป็นบันทึกลายลักษณ์อักษรครั้งแรกตั้งแต่ปี 1838 แล้ว เรื่องราวใน The Addams Family ไม่ว่าจะเป็นฉบับการ์ตูน ซีรีส์โทรทัศน์ ภาพยนตร์คนแสดง ภาพยนตร์แอนิเมชัน กระทั่งในเวอร์ชั่นซีรีส์เน็ตฟลิกซ์อย่าง Wednesday ที่กำลังไต่ทะยานความนิยมอยู่ ณ ขณะนี้ ล้วนเต็มไปด้วยการสอดแทรกเกร็ดทางประวัติศาสตร์ ตำนาน วรรณกรรม ไปจนถึงการเสียดสีสังคมในยุคนั้น ซึ่งเรื่องราวต่าง ๆ ใน Wednesday ที่ถูกปลุกชีพขึ้นมาในรูปแบบซีรีส์ #Netflix โดยผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน ก็ยังคงสอดแทรกประเด็นทางประวัติศาสตร์และเกร็ดทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจไว้มากมาย โดยเฉพาะการรื้อฟื้นสุนทรียะแห่งความกอธิก (Gothic) มาใช้เป็นสื่อกลางหรือสัญญะเพื่อเปิดปมความกลัวที่ซ่อนอยู่ใต้ฉากหน้าของสังคมยุคปัจจุบัน

ภายใต้ความมะลึกกี๊กกึ๊ยส์ ความหน้าตายของยัยน้อง ‘เวนส์เดย์’ และบรรยากาศหม่นหมองชวนหลอนนั้น ผู้สร้างได้สอดแทรกเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริงใด ๆ ไว้บ้าง? เราขอชวนทุกคนลงหลุม เอ๊ย! ลงลึกไปสำรวจด้วยกัน

‘Gothic’ จากเผ่าคนเถื่อนที่หาญสู้ชาวโรม สู่สุนทรียะแห่งการเป็น ‘พวกนอกคอก’ (Outcast)

คำว่า กอทิก (Gothic) มีรากศัพท์มาจาก กอท (Goths) ชนกลุ่มหนึ่งในเผ่าพันธุ์เยอรมัน (Germanic) ที่เคยมีนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในแถบสแกนดิเนเวียนตอนใต้ ก่อนที่จะถูกโจมตีโดยกองทัพฮั่นในศตวรรษที่ 4 จนเป็นเหตุให้ชาวกอทแตกออกเป็นหลายส่วน โดยที่ส่วนหนึ่งเข้าร่วมกับชาวฮั่น ในขณะที่บางส่วนก็หนีอพยพเข้ามาในพื้นที่ของจักรวรรดิโรมัน และทำสงครามต่อสู้เพื่อแย่งถิ่นที่อยู่อาศัยกับชาวโรมันเรื่อยมา

ในสายตาของชาวโรมัน ชาวกอทเป็นกลุ่มคนคนเถื่อนไร้อารยะ เพราะวิถีชีวิตของคนกอทที่ยังชีพด้วยการเพาะปลูกล่าสัตว์ ไปจนถึงปกครองด้วยกฎหมายที่โหดร้ายป่าเถื่อน เหนือสิ่งอื่นใด ชาวกอทยังมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าหลายองค์ เชื่อในโชคลางอภินิหารและวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในธรรมชาติ ทั้งยังชอบเข้าปล้นสะดมทรัพย์สินของชาวโรมัน แม้เมื่อชาวกอทตีฝ่าวงล้อมของกองทัพโรมันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาจักร และรับเอาวัฒนธรรมอันเจริญก้าวหน้าของชาวโรมันมาใช้ โดยเฉพาะวิทยาการทางด้านงานสถาปัตยกรรม แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากชาวโรมันอยู่ดี

คำว่า ‘กอธิก’ (ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า กอทิกา) ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า ‘กอท’ กลายเป็น ‘คำเหยียด’ ที่ถูกนำมาใช้เป็นคำเรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีต้นกำเนิดในยุคหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน โดยคนแรกที่บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาก็คือ จิออริโอ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปินและนักประวัติศาสตร์ศิลปะคนสำคัญแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ที่หวนกลับไปศึกษางานสถาปัตยกรรมในช่วงศตวรรษที่ 12-15 อันเป็นยุครุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมที่มีต้นกำเนิดจากกลุ่มสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่จงใจสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างสถาปัตยกรรมแนวคลาสสิก เรียกได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจกับกลุ่มศิลปินชาวอิตาเลียนที่สถาปนาศิลปะกรีกโรมันคลาสสิกให้เป็นรูปแบบศิลปะกระแสหลัก

สถาปัตยกรรมของกลุ่มศิลปินชาวฝรั่งเศสกลุ่มนี้มีเอกลักษณ์สำคัญเป็นการสร้างยอดแหลมสูงขึ้นไปเป็นชั้น ๆ รวมไปถึงการใช้กระจกสีเพื่อดึงแสงธรรมชาติภายนอกให้ส่องเข้ามาในพื้นที่ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเป็นขั้วตรงข้ามกับความทึบตัน หนักแน่น และไม่เน้นการประดับประดา อันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมกรีกโรมันคลาสสิกอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าชาวกอทแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส แต่ด้วยความที่อนารยชนกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการล่มสลายของอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองด้วยศิลปวิทยาการ วาซารีและเหล่าเรอเนซองส์แมนที่ต้องการรื้อฟื้นความงดงามของศิลปะยุคคลาสสิก จึงนำชื่อกลุ่มชนคนเถื่อนที่ทำให้วิหารกรีกโรมันโบราณต้องเหลือเพียงซาก มาเป็นชื่อเรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมนอกขนบความงามแบบคลาสสิก

พูดง่าย ๆ ว่าชาวกอทแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับรูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิกที่เราคุ้นเคยกัน แต่ชื่อของพวกเขาก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกศิลปะที่เหล่ามาสเตอร์ไม่ปลื้ม โดยแฝงไว้ซึ่งความดูแคลนเหยียดหยัน โดยเฉพาะนัยของ ‘ความเป็นอื่น’ (Otherness) ที่ไม่ได้จำกัดแค่ความเป็นอื่นทางรูปแบบศิลปะ แต่ยังรวมไปถึงเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แตกต่างไปจากขนบและมาตรฐานของสังคมส่วนใหญ่ ที่ถูกวางโดยผู้เป็นใหญ่ของสังคม ในเวลาต่อมา สุนทรียะแห่งการเป็นคนนอกแบบกอธิกนี้จะส่งอิทธิพลให้กับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่วรรณกรรม ดนตรี ไปจนถึงผู้คน

แม้ว่าชาวกอทแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส แต่ด้วยความที่อนารยชนกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการล่มสลายของอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองด้วยศิลปวิทยาการ วาซารีและเหล่าเรอเนซองส์แมนที่ต้องการรื้อฟื้นความงดงามของศิลปะยุคคลาสสิก จึงนำชื่อกลุ่มชนคนเถื่อนที่ทำให้วิหารกรีกโรมันโบราณต้องเหลือเพียงซาก มาเป็นชื่อเรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมนอกขนบความงามแบบคลาสสิก

พูดง่าย ๆ ว่าชาวกอทแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับรูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิกที่เราคุ้นเคยกัน แต่ชื่อของพวกเขาก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกศิลปะที่เหล่ามาสเตอร์ไม่ปลื้ม โดยแฝงไว้ซึ่งความดูแคลนเหยียดหยัน โดยเฉพาะนัยของ ‘ความเป็นอื่น’ (Otherness) ที่ไม่ได้จำกัดแค่ความเป็นอื่นทางรูปแบบศิลปะ แต่ยังรวมไปถึงเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แตกต่างไปจากขนบและมาตรฐานของสังคมส่วนใหญ่ ที่ถูกวางโดยผู้เป็นใหญ่ของสังคม ในเวลาต่อมา สุนทรียะแห่งการเป็นคนนอกแบบกอธิกนี้จะส่งอิทธิพลให้กับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่วรรณกรรม ดนตรี ไปจนถึงผู้คน

Mary Shelly, Frankenstein และ Wednesday วรรณกรรมกอธิกและการเล่าเรื่อง ‘ผู้หญิง’ ผู้ท้าทายขนบ

ในซีรีส์ Wednesday ตัวละครเอกอย่างเวนส์เดย์ก็ได้กล่าวว่า แมรี เชลลี ผู้ให้กำเนิดวรรณกรรมขนหัวลุกอย่าง Frankenstein เป็นนักเขียนคนโปรดของเธอ และเวนส์เดย์ที่อายุ 16 ปีก็กล่าวว่า เธอเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ร้อยวันในการเขียนนวนิยายชั้นยอดให้จบ เพื่อที่เธอจะได้เป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญในวัย 18 ปีได้เฉกเช่นแมรี เชลลีย์ นักเขียนหญิงนามอุโฆษแห่ง ‘วรรณกรรมกอธิก’

แมรี เชลลี

แมรี เชลลี

โรเบิร์ต แฮร์ริส นักวรรณคดีวิจารณ์ชาวอังกฤษ เคยเสนอว่า องค์ประกอบของ ‘วรรณกรรมกอธิก’ ประกอบด้วย 1) มีฉากหลังเป็นปราสาทมืดและบรรยากาศที่ดูลึกลับและน่าฉงน 2) มีเรื่องราวเกี่ยวกับคำทำนายทายทักหรือคำพยากรณ์ที่เกี่ยวพันกับตัวปราสาทหรือตัวละครเอก 3) มีการปรากฏของลางร้ายหรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ และ 4) ตัวละครมักจะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ตกใจ หรือความกลัว

หากยึดตามลักษณะข้างต้น ก็จะเห็นว่า องค์ประกอบความเป็นกอธิกในซีรีส์ Wednesday (ไม่รวมหนังหรือผลงานก่อนหน้านี้ในจักรวาล Addams Family) ไม่ได้มีแค่การเมนชั่นชื่อนักเขียนกอธิกคนดังเท่านั้น แต่เรื่องราวใน Wednesday เองก็ยังเดินตามรอยขนบความเป็นเรื่องแต่งแบบกอธิกครบถ้วนทุกประการ ทั้งเซตติ้งของเรื่องที่เป็นปราสาทลึกลับ (ปราสาทจากศตวรรษที่ 18 ที่กลายมาเป็นโรงเรียนเนเวอร์มอร์ในปัจจุบัน) เรื่องราวของคำพยากรณ์อนาคต (จากหนังสือในห้องสมุดไนท์เชดที่ทำนายว่าเวนส์เดย์จะเป็นผู้ปกป้องโรงเรียน) ลางนิมิตรและเหตุการณ์ลี้ลับ (การที่เวนส์เดย์เห็นภาพนิมิตรและสามารถติดต่อกับวิญญาณของบรรพบุรุษอย่าง กูดดี้ แอดดัมส์) และที่ชัดที่สุดก็คือตัวละครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ (บรรดาตัวละครในเรื่องที่ล้วนเป็นเหล่าวัยรุ่นสุดอีโม ไปจนถึงตัวละครที่มีปัญหาด้านอารมณ์และสภาพจิตใจจนต้องเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์ ซึ่งเวนส์เดย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น)

และอีกหนึ่งองค์ประกอบความเป็นกอธิกของซีรีส์ Wednesday ที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในคุณลักษณะของโรเบิร์ต แฮร์ริส แต่เป็นลักษณะสำคัญของเรื่องแต่งกอธิกในยุคหลัง ก็คือเรื่องราวการไขคดีและการสืบสวนเรื่องลี้ลับ ซึ่งตัวอย่างงานกอธิกประเภทนี้ที่หนอนหนังสือน่าจะคุ้นเคยกันดีก็คือผลงานเขียนทั้งหมดของบิดาแห่งเรื่องสั้นกอธิกอย่าง เอ็ดการ์ อัลลัน โป ซึ่งเราจะขอยกเรื่องของโปในซีรีส์ Wednesday ไปพูดในหัวข้อถัดไป

แล้วการที่ซีรีส์ Wednesday อ้างอิงชื่อของนักเขียนหญิงผู้ให้กำเนิดแฟรงเกนสไตน์ และยังดำเนินเรื่องราวโดยอิงขนบการเล่าเรื่องแบบกอธิกนั้นมีความสำคัญอย่างไร? ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าความกอธิกนั้นมีรากมาจากการเป็นคนนอก การเป็นสุนทรียะนอกขนบ และการอยู่ตรงข้ามกับวิธีคิดอันเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแนวคิดแบบคลาสสิก ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศลึกลับ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ และตัวละครสุดอีโมที่เป็นองค์ประกอบความเป็นกอธิกของ Wednesday จึงเป็นองค์ประกอบในการขับเน้นเรื่องราวของ ‘คนนอก’ โดยเฉพาะคนนอกที่เป็น ‘ผู้หญิง’!

วรรณกรรมกอธิกเริ่มแพร่หลายในยุโรปในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยมีผลงานบุกเบิกเป็นนวนิยายขนาดสั้นของฮอเรส วอลโพล (Horace Walpole) ที่ชื่อว่า The Castle of Otranto ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1764 มีฉากหลังของเรื่องราวเป็นปราสาทจากยุคกลาง เล่าเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับเจ้าของปราสาทผู้ฉ้อฉล ซึ่งในตอนที่ตีพิมพ์ครั้งแรกนั้น วอลโพไม่กล้าใช้ชื่อจริงของตัวเองด้วยซ้ำ เนื่องจากผลงานของเขาชิ้นนี้มีลักษณะที่ละเมิดขนบวรรณคดีอันเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ซึ่งย้อนกลับไปเชิดชูเรื่องแต่งตามขนบกรีกคลาสสิก เน้นความเรียบง่าย พูดถึงสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ในอุดมคติ ในทางตรงกันข้าม ผลงานของวอลโพชิ้นนี้กลับว่าด้วยความสับสนอลหม่าน พรรณนาอารมณ์ปรารถนาอันรุนแรงและหยาบโลนของมนุษย์ ทั้งยังดำเนินเรื่องราวในอิตาลียุคกลางที่ผู้คนนับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก ทำให้มีฉากพิธีกรรมที่ดูขลังและน่ากลัว ประกอบกับการเล่าเรื่องราวเหนือธรรมชาติ บรรดา ‘ผู้ใหญ่’ ในยุคนั้นจึงมองว่าเป็นเรื่องงมงายและมอมเมาผู้อ่านให้เอาใจออกจากศีลธรรมอันดี พูดง่าย ๆ ว่าผลงานของวอลโพชิ้นนี้ไม่ต่างอะไรกับสถาปัตยกรรมกอธิกที่ถูก ‘ผู้ทรง’ ทั้งหลายมองอย่างหยามเหยียด

แต่กลายเป็นว่าผลงานชิ้นนี้ของวอลโพขายดีมาก จนจุดกระแสให้นักเขียนหลายคนเริ่มเขียนวรรณกรรมกอธิกตามกันมา แต่ความน่าสนใจก็คือ นอกจากการดำเนินเรื่องราวในปราสาทยุคกลาง การนำเสนออารมณ์รุนแรงและเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติแล้ว วรรณกรรมแนวใหม่นี้ยังมักนำเสนอตัวละครเอกหญิงผู้ระทมทุกข์ หรือต้องประสบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ทำให้ผู้อ่านเห็นใจและเอาใจช่วย ซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า วรรณกรรมกอธิกเหล่านี้มักนำเสนอภาพของผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์จากการกระทำของตัวละครร้ายที่เป็นเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เจ้าของปราสาท หรือตัวบิดาของตัวละครเอกหญิงเอง วรรณกรรมกอธิกจึงเป็นวรรณกรรมที่อาจไม่ได้บุกเบิกการเชิดชูตัวละครหญิง แต่เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนความกดดันที่ผู้หญิงได้รับจากสังคมปิตาธิปไตย

พูดง่าย ๆ ว่า วรรณกรรมกอธิกไม่เพียงเป็นงานเขียนนอกกรอบที่ท้าทายขนบวรรณกรรมชั้นสูงซึ่งให้ความสำคัญกับการนำเสนอปรัชญาคลาสสิกเน้นความเป็นเหตุเป็นผล แต่ยังนำเสนอภาพของสิ่งที่ ‘เป็นอื่น’ ไปจากอุดมคติของสังคมชายเป็นใหญ่ที่ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนออารมณ์อันรุนแรง เรื่องลี้ลับ หรือภาพของผู้หญิงที่ถูกกระทำ

ในยุคถัดมา วรรณกรรมกอธิกก็ได้เป็นพื้นที่ของการแสดงพลังของ ‘ผู้หญิง’ อย่างแท้จริง เมื่อ แมรี เชลลี ได้ให้กำเนิดปีศาจแฟรงเกนสไตน์ในวรรณกรรมกอธิกที่ยังได้ชื่อว่าเป็นวรรณกรรมไซไฟเรื่องแรกของประวัติศาสตร์อย่าง Frankenstein (The Modern Prometheus) ที่ตีพิมพ์ในปี 1818 เล่าถึงนักวิทยาศาสตร์ วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ที่พยายามเล่นบทพระเจ้าในด้วยการใช้วิทยาการไฟฟ้าปลุกชีพคนตายขึ้นมา

โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้แมรี เชลลีย์ เริ่มจับปากกาเขียนนวนิยายเรื่องแรกในชีวิต ก็มาจากการที่สามีของเธออย่าง เพอร์ซี บี. เชลลีย์ ผู้เป็นกวีคนดังของยุค ได้พนันกับเพื่อนนักกวีคนดังอย่าง ลอร์ดไบรอน ว่าใครจะสามารถแต่งเรื่องที่น่ากลัวสยองขวัญที่สุดได้ ซึ่งในที่สุดแมรี เชลลี ก็เป็นผู้ชนะ และตอนที่เธอเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้ เธอมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น

การที่ Wednesday เดินตามขนบเรื่องเล่าแบบกอธิก และการที่ ‘เวนส์เดย์’ ยกแมรี เชลลีย์ เป็นไอดอล จึงอาจเป็นการขับเน้นซีรีส์เรื่องนี้ในฐานะที่เป็นเรื่องราวแห่งการเฉลิมฉลองความเป็น ‘คนนอก’ — วรรณกรรมคนนอก ตัวละครคนนอก ผู้หญิงนอกกรอบ ความคิดนอกสังคม ซึ่งในตอนสุดท้าย เวนส์เดย์ไม่เพียงเขียนนวนิยายจบในวัยใกล้เคียงกับไอดอลของเธอ แต่เธอยังเหมือนกับได้หลุดเข้าไปในเรื่องแฟรงเกนสไตน์ของแมรี เชลลี จากการที่ตัวร้ายตัวจริงรวบรวมชิ้นส่วนของศพต่าง ๆ มาเพื่อคืนชีพ โจเซฟ แคร็กสโตน ตัวร้ายผู้เป็นสัญลักษณ์แทนภาพผู้กดขี่ในด้านต่าง ๆ ทั้งการเป็นผู้ชาย เป็นเจ้าอาณานิยม และเป็นผู้นำทางศาสนา ซึ่งสุดท้าย เมื่อแคร็กสโตนถูกกำราบลงได้ด้วยการร่วมมือร่วมใจของเวนส์เดย์และเพื่อนเหล่าคนนอก Wednesday ก็เป็นดังเรื่องราวกอธิกยุคใหม่ที่เฉลิมฉลองความเป็นคนนอกอย่างแท้จริง

Edgar Allan Poe ใน Nevermore

นอกจากแมรี เชลลีย์ ผู้เขียน Frankenstien แล้ว นักเขียนวรรณกรรมกอธิกอีกคนที่ถูกอ้างอิงถึงในซีรีส์ Wednesday จนแทบจะเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งก็คือ เอ็ดการ์ อัลลัน โป บิดาแห่งวรรณกรรมกอธิกและเรื่องสืบสวนสอบสวนแห่งศตวรรษที่ 19 นั่นเอง

เริ่มตั้งแต่ชื่อโรงเรียน Nevermore ซึ่งมาจากบทกวีชื่อดังปี 1845 ของโปที่ชื่อว่า The Raven เล่าถึงผู้เขียน (โป) ที่เศร้าโศกจากการจากไปของหญิงคนรัก และมีนกเรเวนมาเกาะที่ขอบประตู เมื่อชายหนุ่มถามคำถามใด นกเรเวนก็จะร้องตอบทุกคำถามด้วยคำว่า ‘Nevermore’

พูดถึง The Raven ที่เป็นทั้งชื่อผลงานดังและตัวละครในเรื่องเล่าของโปอีกมากมายแล้ว ‘นกเรเวน’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏในซีรีส์หลายครั้ง เรียกได้ว่าแทบทุกฉาก ตั้งแต่การเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำสถาบัน เป็นของประดับบนโต๊ะครูใหญ่วีมส์ เป็นภาพวาดบนกำแพงโดยตัวละครเซเวียร์ หรือแม้กระทั่งเป็นชื่อเกาะในแคมปัสของโรงเรียน

เหนือสิ่งอื่นใด เรเวนยังเป็นตัวแทนของพลังนิมิตรของเวนส์เดย์ ในขณะที่แม่ของเรเวนเป็น ‘พิราบขาว’ เพราะเห็นนิมิตรที่เกี่ยวกับเรื่องดีงาม แต่นิมิตรมืดของเรเวนอย่างเวนส์เดย์กลับมีแต่เรื่องร้าย ๆ และความตาย ซึ่งบรรพบุรุษอย่าง กูดดี้ แอดดัมส์ ก็บอกกับเวนส์เดย์ว่า เวนส์เดย์คือสายเลือดเรเวนที่สืบทอดมาจากตัวเธอ

ส่วนใน Season 1 EP.2 ที่มีหัวใจหลักเป็นการแข่งขันพายเรือเพื่อชิง Poe Cup ก็เป็นหนึ่งตอนที่ผู้สร้างเขาอุทิศให้พ่อโปไปเล้ย! เพราะชื่อทีมที่เข้าแข่งขันทุกทีมล้วนมาจากชื่อผลงานของโปทั้งนั้น รวมไปถึงคอสตูมและการตกแต่งเรือประจำทีมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากงานเขียนนั้น ๆ ของโปด้วย ไม่ว่าจะเป็น The Pit and the Pendulum, The Gold Bug, The Black Cat หรือ The Cask of Amontillado

ถ้ายังไม่ชัดอีกว่าบิดาแห่งเรื่องลึกลับแรงบันดาลใจให้ซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ โปก็มาปรากฏตัวแบบเต็ม ๆ ในรูปของประติมากรรมที่ยืนปกปักทางเข้าสมาคม Nightshade Society ซึ่งชื่อ Nightshade ที่แปลว่า ‘ไม้เลื้อย’ ก็น่าจะมาจากอีกเรื่องสั้นปี 1935 ของโปที่ชื่อว่า ‘Morella’ ซึ่งกล่าวถึงพันธุ์ไม้เลื้อย Morel ที่ถูกใช้ทำเป็นยาพิษในเรื่องนั่นเอง

Jericho และ Pilgrim World

“และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “ดูซิ เราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือของเจ้าแล้ว และกษัตริย์แห่งเมืองนั้น และบรรดาชายฉกรรจ์ผู้กล้าหาญ” (โยชูวา 6:2)

ในซีรีส์ Wednesday ‘เจริโค’ คือเมืองที่ก่อตั้งโดยกลุ่ม ‘พิลกริมส์’ ที่เข้ามาตั้งรกรากในอเมริกา เมื่อปี 1625 ซึ่งในความจริงแล้ว เมืองนี้ก็มีอยู่จริงในอเมริกา และข้ามไปอีกซีกโลกหนึ่ง ก็มีเมืองชื่อเดียวกันนี้อยู่ในพื้นที่ปาเลสไตน์อีกด้วย

ล้วชื่อเมือฝเจริโคนี้มีความสำคัญอย่างไร ถึงทำให้มันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเมืองที่อยู่ห่างกันครึ่งโลก แล้วยังมาปรากฏในซีรีส์ Wednesday อีก?

ชื่อของเจริโคปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล โดยเป็นเมืองที่ชาวอิสราเอลพิชิตได้เป็นเมืองแรกหลังจากอพยพออกมาจากอียิปต์ เจริโคจึงเป็นเมืองที่มีความเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาอย่างไม่ต้องสงสัย

เมืองเจริโคบันทึกอยู่ในหนังสือโยชูวา พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า เล่าถึงกลุ่มชนชาติอิสราเอลที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายหลังจากที่โมเสสได้สิ้นชีวิตลง โยชูวาได้ขึ้นมาเป็นผู้นำต่อ เขาได้นำชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนตามพระบัญชาของพระเจ้า และได้มาถึงที่ราบใกล้เมืองเจริโค เหล่าทหารอิสราเอลได้ทำการล้อมเมืองเจริโคไว้ พระเจ้าได้บัญชาให้ชาวอิสราเอลตั้งขบวนเห่หีบพันธสัญญาไปรอบเมืองวันละ 1 รอบ เมื่อครบ 7 วันให้ปุโรหิตเป่าแตรเขาแกะตัวผู้ ทำให้กำแพงของเมืองถล่มลงมาอย่างง่ายดาย ชาวอิสราเอลจึงเข้ายึดเมืองไว้ได้ หากแต่พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่าบรรดาข้าวข้องในเมืองนี้ล้วนถูกพระองค์สาปไว้ ห้ามคนอิสราเอลเก็บหรือขโมยของไว้กับตัวโดยเด็ดขาด แต่ก็มีลูกหลานอิสราเอลพวกหนึ่งที่ไม่ทำตามทำให้พระเจ้าทรงพิโรธถึงกับทำให้ชาวอิสราเอลต้องแพ้ในสงครามครั้งต่อมา

เมืองเจริโคมีความสำคัญในแง่มุมของศาสนาเนื่องจากเป็นก้าวแรกของการไปถึงดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้มอบให้ชาวอิสราเอล ในซีรีส์ Wednesday จึงนำชื่อเจริโคมาใช้เป็นชื่อเมืองที่ก่อตั้งโดยพวกพิลกริมส์เคร่งในศาสนา หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้สร้างอาจเลือกชื่อเมืองเจริโคมาใช้เพื่อสื่อถึงการที่เมืองแห่งนี้เป็นเมืองต้องสาปตามพระคัมภีร์ก็เป็นได้

Fall of Jericho โดย Julius Schnoor von Carolsfeld (1794–1872)

Fall of Jericho โดย Julius Schnoor von Carolsfeld (1794–1872)

นอกจากเจริโคแล้ว คีย์เวิร์ดสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ‘พิลกริมส์’ ผู้ก่อตั้งเมืองเจริโคที่ยังคงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้ชาวเมืองยุคปัจจุบันในรูปแบบของธีมปาร์กหรือสวนสนุก ‘Pilgrim’s World’ ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของเมือง ซึ่งคณะพิลกริมส์นี้ก็มีตัวตนอยู่จริง และยังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งอาณานิคมอังกฤษแห่งแรก ๆ ในแผ่นดินอเมริกาด้วย

หากจะทำความรู้จักพลิกริมส์ คงต้องย้อนกลับไปในอังกฤษช่วงการสถาปนาศาสนาคริสต์นิกายอังกฤษ (Church of England) โดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ผลจากการแยกตัวจากคริสตจักรโรมันทำให้กลุ่มชาวคริสต์ที่อาศัยอยู่ในเมืองท่าพลิมัธ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษไม่พอใจในการปฏิรูปศาสนาในครั้งนั้น เนื่องจากพวกเขามองว่าการปฏิรูปนี้ไม่แตกต่างไปจากนิกายโรมันคาทอลิคแต่อย่างใด พวกเขาจึงไม่ร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณเข้าร่วมกับนิกายอังกฤษ แล้วหันมาร่วมกันก่อตั้งนิกายอิสระท้องถิ่นขึ้น จนถูกเรียกว่า ‘The Separatist’ หรือผู้แบ่งแยก ซึ่งหลังจากที่ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ หนึ่งใน The Separatist หมดอำนาจลง กลุ่มศาสนาคริสต์ที่แยกตัวออกมานี้ก็ถูกกดขี่มากขึ้นในอังกฤษ พวกเขาบางส่วนได้อพยพไปยังเมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์

Mayflower at sea (from a postcard of 1910-20)

Mayflower at sea (from a postcard of 1910-20)

แต่เนื่องด้วยสภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในยุโรป กลุ่ม The Separatist จึงตัดสินใจย้ายจากยุโรปไปตั้งถิ่นฐานยังโลกใหม่ หรือแผ่นดินอเมริกา โดยอาศัยเรือ ‘เมย์ฟลาวเวอร์’ ในการข้ามมหาสมุทร ใช้เวลากว่า 65 วัน เมย์ฟลาวเวอร์ก็ได้เทียบท่าที่บริเวณรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งในขณะนั้นคือพื้นที่ในความครอบครองของอังกฤษ มีชื่อว่า ‘นิวอิงแลนด์’ พวกเขาได้ร่วมกันก่อตั้งอาณานิคมใหม่ขึ้นโดยการร่างข้อตกลงเมย์ฟลาวเวอร์ (The Mayflower Compact) และได้ทำการเลือกตั้งผู้ว่าการอาณานิคมขึ้น ซึ่งจอห์น คาร์เวอร์ได้เป็นผู้ว่าการคนแรก และมีการตั้งชื่ออาณานิคมตามถิ่นฐานเดิมของพวกเขาในอังกฤษว่า อาณานิคมพลิมัท นับเป็นอาณานิคมที่ประสบผลสำเร็จเป็นแห่งที่ 2 ของอังกฤษต่อจากเจมส์ทาวน์ในเวอร์จิเนีย

กลุ่มชาวคริสต์เหล่านี้ถูกเรียกด้วยหลายชื่อทั้ง The Old Comers หรือ The Forefathers แต่ยังไม่ถูกเรียกว่า พลิกริมส์ จนกระทั่งมีการพบเอกสารต้นฉบับของวิลเลียม เบรดฟอร์ด ที่กล่าวถึงนักบุญที่ออกจากฮอลแลนด์มาในฐานะ ผู้แสวงบุญ (Pilgrims) คำว่าพลิกริมส์จึงกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปหลังจากนั้น

Embarkation of the Pilgrims โดย Robert W. Weir

Embarkation of the Pilgrims โดย Robert W. Weir

ชาวพิลกริมส์ที่โดยสารเรือเมย์ฟลาวเวอร์มายังอาณานิคมใหม่นี้ยังนำประเพณีการเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณพระเจ้าหรือ ‘Thanksgiving’ มายังแผ่นดินใหม่ โดยการเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณพระเจ้านั้นเป็นธรรมเนียมที่มีมายาวนาน มักจัดขึ้นในช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตาม ในยุคของคริสต์นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ได้ขีดฆ่าธรรมเนียมนี้ออกไปจากวันพิเศษของปฏิทินชาวคริสต์ แต่ชาวพิลกริมส์ที่อพยพหนีไปยังเมืองอื่น ๆ ในยุโรปยังคงสืบสานต่อมา เมื่อเรือเมย์ฟลาวเวอร์เทียบท่าที่แผ่นดินใหม่ ชาวพิลกริมส์ผู้รอดชีวิตจากการเดินทางอันแสนทรหด (มีการบันทึกไว้ว่า ลูกเรือเมย์ฟลาวเวอร์มีจำนวน 110 คน แต่รอดชีวิตถึงจุดหมายน้อยกว่า 50 คน) จึงได้ทำการเฉลิมฉลองเป็นเวลาสามวันเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ืทำให้พวกเขารอดชีวิตมาได้

แม้ว่าในตำราเรียนของชาวอเมริกันทั่วไปจะระบุว่า วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันสำคัญของชาวอเมริกันที่สื่อถึงความกลมเกลียวระหว่างชาวพิลกริมส์ที่เป็นผู้มาเยือนใหม่ กับชาวอเมริกันพื้นเมืองที่อยู่บนแผ่นดินมาเนิ่นนานแล้ว เพราะมีการบันทึกไว้ว่า ในการจัดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกของชาวพิลกริมส์นั้น ชาวอเมริกันพื้นเมืองได้รับเชิญให้เข้าร่วมในฐานะผู้หยิบยื่นไมตรีให้ผู้มาใหม่ และยังช่วยชาวพิลกริมส์ในการตั้งถิ่นฐานในบ้านใหม่ อย่างไรก็ตาม การรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ในยุคหลังได้ทำลายภาพมายาคติเกี่ยวกับวันขอบคุณพระเจ้าอันแสนสุข เพราะเมื่อมีการศึกษาจากมุมมองของชาวอเมริกันพื้นเมืองก็ได้พบว่า ผู้มาเยือนใหม่ไม่เพียงนำโรคร้ายชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบบนแผ่นดินอเมริกามาติดชาวอเมริกันพื้นเมืองเท่านั้น แต่ในยุคหลังจากที่ชาวพิลกริมส์ได้ตั้งอาณานิคมใหม่จนเข้มแข็งแล้ว พวกเขายังจัดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะจากการรุกรานชาวอเมริกันพื้นเมืองด้วย โดยมีการบันทึกว่า ในปี 1637 ผู้ว่าการอาณานิยมแมสซาซูเซตส์ จอห์น วินธอป ได้ประกาศจัดเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลังจากที่สังหารชาวอเมริกันพื้นเมืองเผ่าเปโกต์ไปถึง 700 คน

ถ้าย้อนกลับไปดูหนังภาคต่อ Addams Family Values ในปี 1993 ก็จะเจอฉากที่เวนส์เดย์ทำลายงานฉลองวันขอบคุณพระเจ้าที่จัดขึ้นในธีมชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง โดยในฉากนั้น เวนส์เดย์ที่อยู่ในคอมตูมชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์อันเลวร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวันขอบคุณพระเจ้า และจับผู้คุมค่ายที่อยู่ในชุดมิสชันนารีมามัด และให้เหล่าเด็ก ๆ ที่อยู่ในชุดคอสตูมชนเผ่าจับผู้คุมคนอื่น ๆ มาเผาแทนไก่งวง ซึ่งในซีรีส์ Wednesday ตัวละครเวนส์เดย์ก็ได้พูดถึงสวนสนุก Pilgrim’s World ว่า “คนโรคจิตแบบไหนกันที่เอาเรื่องราวแบบนี้มาทำเป็นสวนสนุก”

เราอาจมองว่า เรื่องราวของเมืองเจริโคและ Pilgrim’s World ที่ปรากฏในซีรีส์ Wednesday นั้นเป็นความพยายามของผู้สร้างที่จะ ‘ทริบิวต์’ ให้เวอร์ชั่นภาพยนตร์ในยุค 90s ก็ได้ หรือในอีกแง่หนึ่ง การนำเสนอเรื่องประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่หลังภาพความรื่นเริงของเทศกาลแสนสุขของคนอเมริกัน อาจเป็นการขับเน้นแมสเสจเรื่องการเป็นคนนอกและการเป็นอื่นไปจากค่านิยมของสังคม ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของเรื่องราวเด็กสาวขวางโลกและเพื่อนตัวประหลาดของเธอ นอกจากนี้ การที่เหล่าคนนอกแห่งเนเวอร์มอร์สามารถเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเมือง และกระชากหน้ากากผู้ร้ายที่แท้จริงออกมาได้ในตอนสุดท้าย ก็อาจเป็นความพยายามของผู้สร้างในการเฉลิมฉลองให้กับการเป็นคนนอก และการท้าทายสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น ‘ความปกติ’

อ้างอิง

การละเมิดกรอบจารีตสังคมในวรรณกรรมกอธิกไทย: กรณีศึกษาชนชั้นและเพศสถานะในปราสาทมืด. (2022). Retrieved December 2, 2022, from Tci-thaijo.org website: https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/12597/1131
วีรี เกวลกุล. (2022). ใต้เงาแห่งอดีต : การศึกษาเปรียบเทียบการสร้างภาพแทนแบบกอทิกในงานเขียนของ จินตวีร์ วิวัธน์ กับ พงศกร จิดดาวัฒนะ. Chula.ac.th. https://doi.org/http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/18162
https://en.wikipedia.org/wiki/Goths
https://mashable.com/article/wednesday-netflix-edgar-allan-poe
https://www.hitc.com/en-gb/2022/11/25/where-is-jericho-in-wednesday-and-is-the-town-a-real-place/
https://en.wikipedia.org/wiki/Pilgrims_(Plymouth_Colony)
https://www.cbs8.com/article/news/community/our-community/what-thanksgiving-means-for-native-americans/509-918f0e4c-ec85-400c-b8c1-1d6a37a207c0