#Artเทอม Hippie: ขบถต่อสงคราม, ทุนนิยมอเมริกัน, และต่อขนบเดิม ๆ

Post on 13 August 2025

'ฮิปปี้เรียกร้องสันติที่งานอีสานเขียว เขาหายไปไหนกันหมดครับ?'

เสียงคำถามหนึ่งลอยผ่านหน้าจอ ท่ามกลางคลื่นความคิดสุดขั้วในโลกอินเทอร์เน็ต ที่ในวันนี้กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำสนับสนุนสงคราม การแบ่งฝ่าย และวาทกรรมแห่งความเกลียดชังต่อประเทศเพื่อนบ้าน
อีกด้านหนึ่งของหน้าฟีด ซีรีส์เกย์ร่วมสมัยโพสต์โปรโมตตอนใหม่ ด้วยตัวละครหนุ่มผมยาว หน้าหวาน แต่งกายสไตล์วินเทจ มีพฤติกรรม 'หยอดมุกแปลก ๆ' และ 'พับกระดาษให้' คนที่แอบชอบ อันเป็นสไตล์ที่ชวนให้นึกถึงยุคสมัยของชาวฮิปปี้โดยไม่รู้ตัว

‘ฮิปปี้’ เป็นหนึ่งในผีจากหลาย ๆ ตัวในประวัติศาสตร์ ที่ยังคงหลอกหลอนโลก แม้ในยามที่ยุคสมัยของพวกเขาผ่านพ้นไปแล้ว พ่อแม่ของพวกเราในยุคอินเตอร์เน็ตอาจเคยมีภาพถ่ายสมัยยัง ‘ผมยาว สะพายย่าม ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้ายาง’ หรือสวมเสื้อมัดย้อมสีสันสดใส ประดับลวดลายดอกไม้และนกพิราบขาว ในสมัยวัยขบถของพวกเขา

เทศกาลดนตรีโฟล์ค-ร็อคยังคงเต็มไปด้วยเสียงกีตาร์และงานศิลปะที่สืบเชื้อสายมาจากบรรยากาศแห่งยุค 60s ดึงดูดให้ค้นคว้าลงไป ว่ามีจิตวิญญาณแบบไหน อยู่ภายใต้สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ขนาดนี้

คอลัมน์ #Artเทอม วันนี้ GROUNDCONTROL ชวนทุกคนมาตามหาจุดยืน ว่าสิ่งที่ฮิปปี้คิดฮิปปี้เชื่อมีอะไรกันแน่ ผ่านบริบทประวัติศาสตร์ในยุคนั้น และสัญลักษณ์ในงานศิลปะที่สะท้อนตัวตนของพวกเขา เพื่อตอบคำถามว่าทำไม วัฒนธรรมที่เคยดูด้อยค่าวันนั้น กลายมาเป็นสไตล์ที่สังคมโอบรับได้ในวันนี้

สงครามสร้างขบถ

หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริการุ่งเรืองอย่างน่าอัศจรรย์ และสิ่งที่มาพร้อมกันคือลัทธิบริโภคนิยมและการคลั่งไคล้จับจ่ายวัตถุอย่างฟุ่มเฟือย ผู้คนในยุคนี้ที่กำลังจะกลายมาเป็นพ่อแม่ของเหล่าฮิปปี้ในอนาคตใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ หรือ American Dream ที่แสนหวาน ซึ่งท้ายที่สุดก็ถูกท้าทายโดยขบวนการหนุ่มสาวรุ่นลูก ๆ ของพวกเขาเอง

โลกที่หนุ่มสาวเหล่านั้นเติบโตขึ้นมา เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การเหยียดเชื้อชาติที่ยังฝังลึกในสหรัฐฯ ความไม่เท่าเทียมทางสังคมในทุกมิติ และสงครามเวียดนามที่อยู่ห่างไกลแต่ส่งผลกระทบอย่างไม่สมเหตุสมผล หนุ่มสาวกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มีการศึกษาดีและมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง แต่กลับรู้สึกแปลกแยก และต้องการแสวงหาความหมายของชีวิตที่มากกว่าการครอบครองผลิตภัณฑ์ตามแบบแผนชีวิตมาตรฐานแบบอเมริกันชน

พวกเขาสร้างหลักความคิดของรุ่นตัวเองขึ้นจากปรัชญาหลากหลายที่มา 'รงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนชาวไทยซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่าฮิปปี้ในซานฟรานซิสโก เมืองใจกลางของขบวนการทางวัฒนธรรมนี้ในขณะที่มันรุ่งเรืองถึงขีดสุด เคยบรรยายไว้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีแนวคิดทางปรัชญาที่หลากหลาย โดยปฏิเสธความหน้าซื่อใจคด และลักษณะวัตถุนิยมของคนรุ่นพ่อแม่ โดยพยายามสร้างสังคมใหม่ที่ตั้งอยู่บนหลักการของ ‘ความรัก สันติภาพ และเสรีภาพ’ ซึ่งสะท้อนอยู่ในคำร้องในบทเพลง สัญลักษณ์บนเสื้อผ้า และคำขวัญที่ทุกคนจำขึ้นใจ อย่างที่เราอยากชวนมาไล่ดูด้วยกันนี้

3 จุดยืน แก่นฮิปปี้

  • ต่อต้านสงคราม เรียกร้องสันติภาพ: 'Make love, not war' หรือ 'ร่วมรัก อย่าร่วมรบ' เป็นหนึ่งในคำขวัญที่โด่งดังที่สุดของยุคสมัยหนึ่งของฮิปปี้ ถ้ามองแบบอนุรักษ์นิยมเสียหน่อยอาจเห็นว่าหนุ่มสาวพวกนี้ว่าเอาแต่ร่วมรักกันตามคำขวัญที่ว่า แต่อีกแง่หนึ่ง 'ความรัก' เป็นแนวคิดที่ถูกวางไว้ให้เห็นด้านตรงข้ามของความโหดร้ายในสงครามที่ดูจะกระตุกความคิดได้เสมอ อย่างเช่นใน 'ฤดูร้อนแห่งรัก' หรือ 'Summer of Love' ที่เป็นปรากฏการณ์หนึ่งในช่วงนั้น และรวมถึงเทศกาลดนตรีที่เป็นหมุดหมายสำคัญของยุคอย่าง Woodstock ในปี 1969 เองก็ถูกขนานนามว่ามันเป็น 'สามวันแห่งสันติภาพและเสียงดนตรี' ไม่ใช่สงคราม (และยังไม่รวม)
  • ต้านวัตถุนิยม ต้านทุนนิยม ปลดปล่อยสู่เสรี: ความเจริญทางวัตถุในรูปแบบสินค้าในสำหรับอเมริกันชนนั้นเป็นหนทางไปสู่ความโลภและความห่างเหินกับเพื่อนมนุษย์ สำหรับชาวฮิปปี้ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ตั้งข้อสังเกตว่าเหล่าฮิปปี้มองว่าทุนนิยมเป็นระบบแห่ง 'การขูดรีด' ทำให้ชีวิตมนุษย์เหลืออยู่แค่การตื่นมาทำงาน หาเงิน แล้วก็ใช้เงินไปกับวัตถุสินค้า ทำให้พวกเขาเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและแนบชิดกับความเป็นชุมชนมากขึ้น โดยมักจะอาศัยอยู่ในบ้านเช่าร่วมกันหรือในคอมมูน ทำเสื้อผ้าใส่เอง (อย่างเช่นการย้อมผ้าหรือการประดิษฐ์ชุดขึ้นมาง่าย ๆ จากผ้าไม่กี่ผืน คล้ายกับสไตล์เสื้อมัดย้อมหรือผ้าคลุมแบบชนพื้นเมือง) และการโอบรับธรรมชาติ ซึ่งสไตล์การแต่งตัวแบบนี้ของพวกเขาแน่นอนว่าย่อมขัดใจผู้ใหญ่หรือเจ้านายที่อยากให้เด็ก ๆ แต่งตัว-ตัดผมให้มันเรียบร้อยตามบรรทัดฐานเดิม ๆ แต่พวกเขายังปลดปล่อยตัวเองจากกฎเกณฑ์เดิม ๆ อีกหลากหลายหนทาง อย่างเช่นการเปิดกว้างทางเพศ และการเสพสิ่งมึนเมา 'สายธรรมชาติ' โดยไม่ดื่มเครื่องดื่มนายทุน
  • แสวงหาสู่จิตวิญญาณ: การปลดปล่อยตัวเองจากระเบียบประเพณีและจากระบอบบริโภคก็เรื่องหนึ่ง แต่พวกเขามองหาการปลดปล่อยที่ไปไกลกว่านั้น อย่างเช่นระดับจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะด้วยการศึกษาปรัชญาจากต่างศาสนาเช่นพุทธหรือฮินดู การทำสมาธิ หรือการใช้ LSD และกัญชา ซึ่งก็ว่ากันว่าเชื่อมโยงกับงานศิลปะตระกูล 'หลอน' อย่างเพลงหรือศิลปะไซคีเดลิก แฟน ๆ ฮิปปี้ไทย 'รงค์ วงษ์สวรรค์ คงจำกันได้ว่าชื่อบ้านของเขาว่า 'สวนทูนอิน' ซึ่งก็มีที่มาจากคำขวัญ 'turn on, tune in, drop out' หรือการเข้าไปในตัวตน(ด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่), โยงใยให้เข้ากับภายนอก, และการละทิ้งปล่อยวาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของมิติจิตวิญญาณและการใช้สารเสพติดในวัฒนธรรมฮิปปี้ได้เป็นอย่างดี (ถึงแม้หลายคนจะมีท่าทีตั้งคำถามต่อการใช้สารเสพติดด้วยก็ตาม)

5 ศิลปะ ที่สะท้อนตัวตนฮิปปี้

  • สัญลักษณ์สันติภาพ: จากสัญลักษณ์ที่มาจากสัญญาณธงเพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ มาสู่หนึ่งในภาพจำของขบวนการต่อต้านสงคราม และด้วยความที่ขบวนการต่อต้านสงครามใกล้ชิดกับขบวนการทางวัฒนธรรมอย่างฮิปปี้ เราจึงเห็นสัญลักษณ์นี้ปรากฏไปทั่วตามเสื้อผ้า โปสเตอร์ และเครื่องประดับต่าง ๆ อยู่เสมอ
  • ศิลปะไซคีเดลิก (Psychedelic Art): ปกอัลบั้ม โปสเตอร์คอนเสิร์ต และหนังสือการ์ตูนใต้ดินที่มาจากยุค 60s ล้วนมีสไตล์สีสันจัดจ้าน ตัวอักษรที่หมุนเบี้ยววน และรายละเอียดยุบยับดูแล้วเวียนหัวทั้งหลาย เป็นสไตล์แห่งยุคสมัย ด้วยอิทธิพลจากการออกแบบแนวไซคีเดลิก ที่ผสมผสานอิทธิพลศิลปะตะวันตกเข้ากับประสบการณ์หลอนยาจนได้แนวทางแบบนี้
  • เสียงแห่งการต่อต้าน: ดนตรีคือเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ใจกลางความเคลื่อนไหวในขบวนการฮิปปี้ (ถ้าไม่นับกัญชาหรือสารเสพติดอะไรพวกนั้น) ดนตรีร็อกแอนด์โรล โฟล์ค และไซคีเดลิกร็อก ที่ของศิลปินอย่าง Janis Joplin หรือ The Grateful Dead เป็นเหมือนกระบอกเสียงแทนความหวัง ความกลัว และความคับข้องใจของพวกเขา เสียงเพลงชาติสหรัฐที่คำรามออกมาเป็นระเบิดอันกึกก้องจากกีตาร์ของ Jimi Hendrix ในเทศกาลวู้ดสต็อกเป็นดังคำประกาศต่อต้านสงครามที่ก่อขึ้นโดยประเทศชาติที่เขายืนอยู่ เนื้อเพลงชวนจินตนาการของ John Lennon เป็นการทำลายความแข็งกร้าวของสถาบันหลักอย่างชาติ ศาสนา หรือทรัพย์สิน ที่มาแบ่งแยกผู้คนบนโลก และเพลงอื่น ๆ อีกมากที่บันทึกความรู้สึกของขบวนการนั้นไว้ได้
  • ดอกไม้ให้คุณ: หนึ่งในภาพถ่ายที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคฮิปปี้คือตอนที่หญิงสาวฮิปปี้ใช้สองมือประคองดอกไม้ไว้ที่ระหว่างใบหน้าของเธอกับปลายกระบอกปืนที่ติดดาบพุ่งเข้ามาจากฝั่ง 'กองกำลังปราบม็อบ' (American National Guard) ภาพถ่ายจากการประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนามที่อาคารเพนทากอน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง 'พลังดอกไม้' หรือ flower power อีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งสันติ เพื่อต่อต้านสงคราม ซึ่งพบได้เสมอในลวดลายงานออกแบบของชาวฮิปปี้ รวมไปถึงที่หูของพวกเขา ดังเนื้อเพลงที่ว่า 'หากจะเดินทางไปยังซานฟรานซิสโก อย่าลืมสวมดอกไม้ไว้ที่ผม' ในเพลง San Francisco ของ Scott McKenzie
  • แฟชั่น 5 ย.: ผมยาว สะพายย่าม ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้ายาง หน้าตาของฮิปปี้ในความคิดของชาวไทยจำนวนหนึ่งสมัยนั้น ซึ่งถึงอาจไม่ผิดนัก แต่สิ่งเหล่านั้นคงไม่ใช่แค่ความสกปรกไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าหน้าผมดี ๆ แน่ ๆ แต่อาจเป็นคำประกาศต่อต้านการซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น หรือการต่อสู้กับความงามตามขนบ เช่นเดียวกับ 'เครื่องแบบ' เสื้อกั๊ก รองเท้าหนัง ลูกปัดเคริื่องประดับ หมวกมีกระดิ่ง หรือริบบิ้นที่เพิ่มให้ร่างกายเต็มไปด้วยสีสันยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งได้อิทธิพลมาจากคนพื้นเมืองในสหรัฐฯ เครื่องแต่งกายแบบอินเดีย หรือแบบเม็กซิกัน ตามแต่จิตอิสระที่ไม่ขึ้นกับชาติใดของพวกเขาจะค้นคว้าไป

ฮิปปี้ในอีกหลายสิบปีต่อมา
ทุกวันนี้ฮิปปี้อาจไม่ได้เป็น 'ขบวนการ' ขนาดใหญ่เหมือนหลาย ๆ สิบปีก่อนแล้ว ทั้งดนตรี แฟชั่น และศิลปะบนโลกเองก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเรื่อย ๆ แต่อิทธิพลของพวกเขายังตกค้างอยู่ในงานดีไซน์สีสันจัดจ้านยุคปัจจุบัน หรือดนตรีสายลอยที่มาพร้อมเครื่องดนตรีที่ทันสมัยขึ้นแต่ยังคงสำเนียงชวนเวียนหัว

และจิตวิญญาณความขบถไม่สนนายทุน ไม่สนพรมแดนชาติ และไม่เอาสงคราม ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในนักต่อสู้หลาย ๆ คน ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งกายอย่างไรก็ตาม

'สงครามเวียดนาม' อาจจบลงอย่างเป็นทางการไปหลายปีแล้ว แต่พอมาคิดดี ๆ ทุกวันนี้โลกยังมีความขัดแย้งทางวัฒนธรรมแบบเดิมอยู่หรือเปล่านะ? และใครที่เคยรับบทกองกำลังต้านขบถวันนั้น วันนี้เปลี่ยนโฉมไปมากแค่ไหนกัน? ส่วนเหล่าขบถในวันนั้น ตอนนี้จะมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง? เดายากมากจริง ๆ

ภาพจาก
https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Hippies

อ้างอิง