สามชั่วโมงจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่เขาใหญ่ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและความสงบ เหมาะกับการหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่มาพักใจและใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้อย่างพอเหมาะ
แต่นอกจากเขาใหญ่จะเป็นจุดหมายปลายทางของคนที่โหยหาธรรมชาติแล้ว รู้ไหมว่าที่นี่ยังมีสถานที่ที่รอต้อนรับให้คนที่รักงานศิลปะได้เข้ามาสัมผัสกับผลงานของศิลปินระดับโลกด้วย รวมไปถึงหนึ่งในผลงานไฮไลต์อย่าง Maman หรือแมงมุมยักษ์ของหลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgoise) นั่นเอง
และสำหรับสถานที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินระดับโลกที่เราพูดถึงอยู่นี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก Khao Yai Art Forest สถานที่จัดแสดงงานศิลปะรูปแบบใหม่ที่ก่อตั้งโดย คุณมาริษา เจียรวนนท์ เจ้าของเดียวกับ Bangkok Kunsthalle อาร์ตสเปซสไตล์ดิบเท่ในย่านเยาวราช ซึ่ง Khao Yai Art Forest เป็นการนำแนวคิดเรื่อง ‘ศิลป่า’ ที่มาจากการรวมคำของ ‘ศิลปะ’ + ‘ป่า’ ไว้ด้วยกัน เพื่อผลักดันและสนับสนุนผลงานของศิลปินไว้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ และเชื่อมโยงผู้คน ศิลปะ และธรรมชาติให้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เสน่ห์ของที่นี่ คือการที่เขาค่อย ๆ พาเราไปทำความรู้จักกับเส้นทางเดินป่า ที่นอกจากจะยังคงเก็บรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้ได้อย่างดีแล้ว ตลอดเส้นทางยังจะมีการจัดแสดงงานศิลปะของศิลปินชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งหมด 7 คน แต่ละชิ้นถูกจัดวางในพื้นที่ที่ต่างกัน ทำให้เราได้เห็นเสน่ห์ของผลงานแต่ละชิ้นในมุมมองการเล่าเรื่องที่ไม่ซ้ำแบบ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการชมศิลปะท่ามกลางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสผลงานอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
วันนี้ GroundControl เลยขอพาทุกคนไปสัมผัสความหมายของผลงานทั้ง 7 ภายใน Khao Yai Art Forest ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมรองเท้าคู่ใจแล้วบุกไปเดินดูศิลปะในป่าเขาใหญ่ด้วยกันได้เลย

ผลงาน Khao Yai Fog Forest Fog Landscape #48435 (2567)
ศิลปิน ฟูจิโกะ นากายะ (Fujiko Nakaya)
มาถึง Khao Yai Art Forest ทั้งที ถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปสวย ๆ กับผลงาน Khao Yai Fog Forest Fog Landscape #48435 ก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะเชื่อไหมว่างานชิ้นนี้นอกจากจะโชว์เสน่ห์ของหมอกที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศแล้วยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยกินขาดบาดใจสายคอนเทนต์แน่นอน
Khao Yai Fog Forest เป็นผลงานของ ฟูจิโกะ นากายะ ศิลปินชาวญี่ปุ่นผู้ที่เอาศาสตร์ของศิลปะ วิทยาศาสตร์ และธรรมชาติมาผสมผสานเป็นงานแลนด์อาร์ต โดยที่ผลงาน Fog Landscape ชุดนี้ เป็นการนำเสนอศิลปะแบบแลนด์อาร์ตยุค 2.0 ที่แตกต่างจากแลนด์อาร์ตแบบเดิมที่มักอยู่ในรูปทรงเรขาคณิตที่แทรกอยู่ตามบริบทธรรมชาติ แต่งานชุดนี้เลือกนำเสนอเรื่องของพลังงานที่อยู่ในระบบนิเวศ โดยใช้หมอกเป็นตัวกลางในการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หมอกจึงเป็นเหมือนภาพแทนของสิ่งต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น ไร้รูปร่าง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ซึ่งเจ้าหมอกเทียมที่เราเห็นปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นละอองน้ำที่ถูกผลิตขึ้นจากอากาศผ่านกระบวนการพิเศษ ซึ่งเป็นเทคโนโลนีจาก Aquaria แบรนด์แรกของโลกที่คิดค้นและพัฒนาเครื่องผลิตน้ำจากอากาศ โดยตัวเครื่องจะดึงอากาศเข้ามาแล้วกรองฝุ่นและสิ่งที่ไม่จำเป็นออกก่อน จากนั้นก็จะการควบแน่นจนแก๊สกลายเป็นละอองน้ำ จากนั้นก็จะกลายเป็นหยดน้ำ และหยดน้ำก็จะผ่านการกรองไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นน้ำสะอาดที่ดื่มได้อย่างปลอดภัย
สำหรับ Khao Yai Fog Forest จะเปิดหมอกให้เราได้สัมผัสบรรยากาศและซึมซับกับอากาศบริสุทธิ์เป็นรอบคือ เวลา 16.00 น. ของทุกวันพฤหัส-ศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ จะเปิด 2 รอบ คือเวลา 11:30 และ 16:30 น. ใครที่ตั้งใจจะไปชมแนะนำว่าให้จัดลำดับการเดินชมงานแต่ละชิ้นให้ดีนะ




ผลงาน Maman (2542)
ศิลปิน หลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgoise)
ครั้งแรกในไทยที่เราจะได้เห็นประติมากรรมแมงมุมยักษ์ Maman (มามอง) ผลงานสุดโด่งดังของ หลุยส์ บูร์ชัวส์ ศิลปินหญิงชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน มาจัดแสดงอยู่กลางผืนป่าของเขาใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นบริบทใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ ที่เราจะได้เห็นแมงมุมยักษ์อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและนาข้าวของไทย หลังจากก่อนหน้านี้เราเคยได้เห็น Maman ตามพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือพื้นที่สาธารณะในหลากหลายประเทศมาแล้ว
Maman คือหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้กับ หลุยส์ บูร์ชัวส์ โดยที่ประติมากรรมแมงมุมสูงใหญ่ชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแม่ของศิลปินที่ทำอาชีพเป็นช่างซ่อมผ้า เธอเลยเปรียบแม่เป็นเหมือนแมงมุม ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ให้กำเนิด แต่ยังเป็นคนแข็งแกร่งที่คอยปกป้องและดูแล รวมทั้งยังเป็นผู้ถักทอสายใยความสัมพันธ์เหมือนผู้เยียวยา
และถ้าใครได้เดินเข้าไปใต้ลำตัวของแมงมุมแล้วเงยมองขึ้นไป นอกจากความสวยงามของท้องฟ้าที่มีแดดอ่อน ๆ ส่องกระทบตาลงมาแล้ว ก็จะได้เจอกับไข่จำนวน 20 ฟอง ที่ทำมาจากหินอ่อนซ่อนไว้อยู่ในโครงสร้างของแมงมุม ไข่เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ และยังสื่อถึงพี่น้องของบูร์ชัวส์ รวมไปถึงเด็ก ๆ ทั่วโลกด้วย
ใครที่อยากเห็นความยิ่งใหญ่ของ Maman อาจจะต้องรีบกันหน่อยนะ เพราะงานจะจัดแสดงถึงแค่ปลายเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากนั้นจะถูกนำกลับไปบูรณะ แล้วก็จะเดินทางไปจัดแสดงสถานที่อื่น ๆ ต่อไป


ผลงาน K-BAR (2567)
ศิลปิน เอล์มกรีน และ แดร็กเซต (Elmgreen and Dragset)
ถ้าคุณเคยเห็นภาพร้าน Prada ปลอมกลางทะเลทรายในเท็กซัส Prada Marfa (2005) หรืองานสระว่ายน้ำแนวตั้งอย่าง Van Gogh’s Ear (2016) เราอยากชวนมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งผลงานระดับโลกของ เอล์มกรีนและแดร็กเซต ศิลปินดูโอ้ชาวสแกนดิเนเวีย งานชิ้นนี้มีชื่อว่า K-BAR ร้านบาร์ลับ ๆ กลางป่าเขาใหญ่ที่รอให้ทุกคนเดินเข้าไปยืนดู?
K-BAR เป็นงานศิลปะจัดวางใน Khao Yai Art Forest ซึ่งเป็นงานที่เอล์มกรีนและแดร็กเซต สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเพื่อนศิลปินผู้ล่วงลับอย่าง มาร์ติน คิปเพนเบอร์เกอร์ (Martin Kippenberger) จิตรกรชาวเยอรมันผู้ที่หลงใหลในโลกแอลกอฮอล์ โดยที่บาร์แห่งนี้จะเปิดเพียงเดือนละหนึ่งครั้ง (เสาร์ที่สองของทุกเดือน) ซึ่งก็คล้าย ๆ กับแนวคิดของ Prada Marfa (2548) ในแง่ของการจำกัดการเข้าถึงและการปฏิเสธผู้คน เพราะถ้ามาในช่วงบาร์ปิดก็ทำได้เพียงยืนชมผ่านประตูกระจกด้านนอก ไม่สามารถเข้าไปนั่งได้จริง
ขณะเดียวกันงานชิ้นนี้ยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความแปลกแยกและความแตกต่างของสถานที่ ที่นำองค์ประกอบของความหรูหราที่มักอยู่ใจกลางเมืองอย่างบาร์ มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ห่างไกล คล้ายกับเป็นปรากฏการณ์มิราจ (mirage) หรือภาพลวงตาที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อรอคอยให้ผู้คนเดินทางเข้ามาค้นพบสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง


ผลงาน Two Planets (2551)
ศิลปิน อารยา ราษฎร์จำเริญสุข (Araya Rasdjarmrearnsook)
ไม่ไกลจากงาน Maman ของ หลุยส์ บูร์ชัวส์ เราจะได้เจอกับเส้นทางเดินเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใน Khao Yai Art Forest ทางที่จะพาเราปลีกตัวเข้าไปตั้งใจนั่งอยู่บนท่อนไม้เล็ก ๆ พร้อมกับสำรวจบทสนทนาของชาวบ้านที่อยู่ในวิดีโออาร์ตตรงหน้า ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การดูวิดีโออาร์ตในบริบทที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาก ๆ
งานชิ้นนี้พาเราไปสำรวจความแตกต่างของวัฒนธรรมโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ซึ่งเป็นงานที่ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของ อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ศิลปินไทยร่วมสมัยที่หยิบเอามุมมองความแตกต่างระหว่างโลกสองใบระหว่างชาวบ้านในชนบทไทยและงานศิลปะของศิลปินที่มีชื่อเสียงมาถ่ายทอด บอกเล่า และชวนพินิจ ผ่านผลงานที่มีชื่อว่า Two Planets
แนวคิดของ Two Planets เป็นการนำเสนอเรื่อง ‘บทสนทนาของความเป็นไปไม่ได้’ เพื่อให้เห็นถึงการตีความผ่านมุมมองระหว่างวัฒนธรรม การรับรู้ และเฝ้าดูปฏิกริยาที่แสดงออกมาซึ่งอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเราในฐานะบุคคลที่สามจะได้ชมวิดีโอที่มีชาวบ้านกำลังนั่งพูดคุยและมองดูงานจิตรกรรมตะวันตก
โดยที่ผลงานชิ้นนี้ตั้งใจสะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างโลกฝั่งตะวันตกและตะวันออก และการยอมรับความแตกต่างทุกรูปแบบทั้งความต่างทางวัฒนธรรม นิเวศวิทยา หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์


ผลงาน GOD (2567)
ศิลปิน ฟรานเชสโก อารีนา (Francesco Arena)
นอกจากความเขียวชอุ่มของต้นไม้ ใบไม้และธรรมชาติที่อยู่ใน Khao Yai Art Forest คุณจะได้พบกับประติมากรรมหินขนาดใหญ่สองก้อนที่ประกบกันได้อย่างลงตัว ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า GOD ซึ่งเป็นผลงานศิลปะชิ้นแรกที่ได้นำมาจัดแสดงใน Khao Yai Art Forest
GOD เป็นผลงานของ ฟรานเชสโก อารีนา ศิลปินร่วมสมัยชาวอิตาเลียน งานชิ้นนี้เกิดจากการนำหินสองก้อนที่ศิลปินพบจากจังหวัดกาญจนบุรีมาประกอบเข้ากันด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งก็คือการหาจุดถ่วงตรงกลาง เพื่อให้หน้าตัดของหินทั้งสองประกบกันได้อย่างพอดี
หินทั้งสองก้อนมีการสลักตัวอักษรคำว่า GOD เพื่อซ่อนความหมายของผลงานชิ้นนี้เอาไว้ แต่ถ้ามองด้วยตาก็อาจจะไม่ได้เห็นคำว่า GOD อย่างชัดเจน เพราะใจความหลักที่ศิลปินอยากจะสื่อสารก็คือเรื่องของธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจับต้องได้ และเพื่อให้ผู้ชมได้ร่วมสำรวจไปถึงความสัมพันธ์ของธรรมชาติและบริบททางวัฒนธรรมตามการตีความและให้ความหมายของแต่ละคน



ผลงาน Madrid Circle (2531)
ศิลปิน ริชาร์ด ลอง (Richard Long)
จากพื้นที่ราบใน Khao Yai Art Forest เดินยกระดับขึ้นเนินมาอีกหน่อยก็จะพบกับงานประติมากรรมหินที่วางเรียงกันเป็นวงแหวน ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า Madrid Circle เป็นผลงานของ ริชาร์ด ลอง ศิลปินชาวอังกฤษที่บุกเบิกศิลปะแลนด์อาร์ตคนแรก ๆ ของโลก
แน่นอนว่า ถ้าใครคุ้นเคยกับผลงานของ ริชาร์ด ลอง ดีก็จะรู้ว่าลักษณะงานของเขามักจะเน้นไปที่เรื่องของการพาเราไปสำรวจและย่างกรายผ่านภูมิทัศน์ที่หลากหลายร่วมกับวัสดุธรรมชาติอย่าง ไม้ หิน ดินเป็นหลัก เช่นเดียวกับผลงาน Madrid Circle ที่ใช้วิธีการจัดเรียงแผ่นหินตามรูปทรงเรขาคณิต โดยที่ศิลปินตั้งใจให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมกับผลงานชิ้นนี้ นั่นคือการค่อย ๆ เดินตามจังหวะของตัวเองและรับรู้ถึงความสมดุล และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ
และเชื่อไหมว่าตอนที่เราได้เดินรอบวงแหวนนี้ งานชิ้นนี้พาให้เราได้สัมผัสกับความเงียบสงบที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว เหมือนเป็นการช่วยฝึกสมาธิผ่านการเดินรอบวงแหวนได้อย่างดีมาก ๆ แนะนำว่าใครที่มาดู Madrid Circle ให้ลองเดินวนให้ครบ 1 รอบแล้วจะรับรู้ได้ถึงความสงบที่เกิดขึ้นภายในใจได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ




ผลงาน Pilgrimage to Eternity (2567)
ศิลปิน อุบัติสัตย์ (Ubatsat)
หากไม่บอกว่านี่คืองานศิลปะที่ถูกนำมาจัดแสดงอยู่ใน Khao Yai Art Forest เราคงคิดว่าประติมากรรม Pilgrimage to Eternity ของ อุบัติสัตย์ ศิลปินและนักกิจกรรมทางสังคมชาวไทย เกิดมาเพื่อตั้งอยู่กลางป่าเขาใหญ่แน่ ๆ เพราะด้วยรูปลักษณ์และสีสันของชิ้นงานรวมกว่าสิบชิ้นนี้ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความกลมกลืนและเข้ากับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี
Pilgrimage to Eternity คือประติมากรรมเจดีย์ทรงลังกาที่แตกตัวออกมาเป็นสิบชิ้นในลักษณะที่แตกต่างกัน และกระจายตัวอยู่ในภายพื้นที่ของ Khao Yai Art Forest โดยจุดเริ่มต้นของผลงานก็คือ ศิลปินนำดินจากพื้นที่เขาใหญ่มาปั้นให้เป็นรูปทรงเจดีย์ที่ถูกปกคลุมด้วยมอสส์ (Moss) ธรรมชาติ เพื่อสะท้อนถึงแนวคิดเรื่องศาสนา นั่นคือความไม่เที่ยง การเกิด การดับ และวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ถาวร เช่นเดียวกับผลงานชิ้นนี้ที่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมแล้วนั่นเอง
ผลงานชิ้นนี้จึงไม่ได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องการอยู่ร่วมกันของศาสนาและธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังชวนให้เราได้ร่วมสำรวจการเวลาเมื่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป และขณะเดียวกันก็ชวนให้เรารับรู้ถึงพลังความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่อยู่อย่างถาวร


Forest Foods
นอกจากการชมงานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติแล้ว Khao Yai Art Forest ยังชวนให้เราได้เพลิดเพลินไปกับการลิ้มรสชาติความอร่อยจาก Forest Foods ที่มีแนวคิดการหยิบเอาวัตถุดิบธรรมชาติจากความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลในประเทศไทยมาปรุงรสเป็นมื้ออาหารแสนอร่อย ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างมูลนิธิ Chef Cares และ เชฟหนุ่ม-วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ จากร้าน Samuay & Sons ผู้บุกเบิกการปรุงอาหารอีสานร่วมสมัย
ทุกเมนูของที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการนำวัตถุดิบท้องถิ่นจากป่าเขาใหญ่ ที่เป็นผลผลิตของเกษตรกร ชาวประมง นักเพาะปลูก นักเก็บของป่า มาทำเป็นเมนูอาหารที่เรียบง่ายแต่ให้ความพิเศษด้วยรสชาติที่ไม่เหมือนใครอย่างเช่น เมนูข้าวผัดรถไฟ ยำผลไม้ ซุปข้าวโพด และเมนูอื่น ๆ อีกเพียบ
ใครที่มา Khao Yai Art Forest แนะนำให้จองโปรแกรมทานอาหารมาด้วย รับรองว่าจะได้เพลิดเพลินกับอาหารที่ทำมาจากผลผลิตและวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยอย่างแน่นอน






