คุยทุกเรื่องผี ๆ ใน ‘ท่าแร่’ กับ พี่คุ้ย - พี่เอก และการตีความผีไทยสไตล์เมืองพหุวัฒนธรรม

Post on 6 August 2025

เมื่อนึกถึงบริบทหนังผีไทยในยุคปัจจุบัน ที่ผีไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นสิ่งที่น่ากลัว มันลื่นไหลกว่านั้น บางครั้งก็เป็นภาพแทนของคนชายขอบ บ้างก็เป็นความทรงจำที่ถูกกดทับในประวัติศาสตร์ หรือบางครั้งก็เป็นเหมือนบันทึกจดหมายเหตุสไตล์หอแต๋วแตกไปเลยก็มี การได้พูดคุยกับพี่คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา ผู้กำกับที่ฝากผลงานไว้ในหนังผีหลากหลายรสชาติ อย่าง ธี่หยด, ทองสุก 13, หรือ ขุนกระบี่ ผีระบาด ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ลองถามมุมมองเรื่องผีกับเขาบ้างว่า สำหรับเขา ผีคืออะไร และยังสื่อสารอะไรได้บ้าง

โดยเฉพาะใน ‘ท่าแร่’ ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องล่าสุด ที่ไม่ได้แค่เล่าเรื่องหลอน แต่ยังพาเราเข้าไปสำรวจโลกพหุวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ในชุมชนท่าแร่ ชุมชนคาทอลิกเก่าแก่ทางภาคอีสานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสกลนคร แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเชื่อเรื่องผีและพิธีกรรมท้องถิ่นหลงเหลืออยู่ในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ซ้อนทับกันอย่างหลากหลายจนแทบแยกไม่ออก จนแม้กระทั่งโลกหลังความตายสุดลึกลับ ก็ยังหนีจากเบ้าหลอมวัฒนธรรมที่ตั้งเตาอย่างมั่นคงในเมืองไทยไม่พ้นเหมือนกัน

นอกจากเราจะได้พูดคุยกับพี่คุ้ยแล้ว เราก็ยังได้ตัวพี่เอก -ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ผู้รับบทตามิ่ง ตัวแปรสำคัญของเรื่องมานั่งพูดคุยกันด้วย ซึ่งการได้ฟังมุมมองของพี่เอกร่วมกับพี่คุ้ย ก็ทำให้เราได้เห็นการตีความระหว่างผู้กำกับกับนักแสดง ที่แม้จะพูดถึง ‘ผี’ หรือ ‘ปีศาจ’ เดียวกัน แต่ก็มีรายละเอียดยิบย่อย และมุมมองการตีความที่ต่างกันออกไป

ถ้าพร้อมแล้ว ก็ตามมาอ่านบทสนทนาระหว่าง GroundControl พี่คุ้ย และพี่เอก ที่ครอบคลุมตั้งแต่มุมมองเรื่องความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม และการตีความตัวละคร ไปจนถึงเบื้องหลังการสร้างหนัง ‘ท่าแร่’ ทั้งในเชิงศิลปะ จิตวิญญาณ และคำถามต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ไปพร้อมกันได้เลย!

**(ซ้าย) พี่เอก -ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ และ (ขวา) พี่คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา**

(ซ้าย) พี่เอก -ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ และ (ขวา) พี่คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา

ความเชื่อเรื่องผีและโลกหลังความตายแบบพหุวัฒนธรรมกับจุดเริ่มต้นของท่าแร่

GC: พี่คุ้ยเชื่อเรื่องผีไหม แล้วเคยเจอผีหรือเปล่า?

พี่คุ้ย: ไม่เคยเจอครับ แต่น่าจะเชื่อนะ เพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมานานแล้ว ผมก็คิดว่ามันน่าจะมีแหละ แต่ยังไม่เคยเจอจริง ๆ สักที เรื่องนี้ก็ภาวนาอยู่เหมือนกันว่าอยากเจอ จะได้มีอะไรมาเล่า มาโปรโมต (หัวเราะ) แต่ก็ไม่เคยเจอ เลยลำบากนิดหน่อย

คือจริง ๆ ผมคิดว่าผีมันเป็นเรื่องของความเชื่อ แล้วก็ความกลัวภายในจิตใจเรามากกว่า เวลาสร้างคาแรคเตอร์ผี เราก็มักนึกถึงช่วงเวลาที่สภาพจิตใจเราไม่ปกติ เช่น ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เราก็จะเริ่มจินตนาการว่ามีผี หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เราควบคุมอะไรไม่ได้ เช่น ขับรถกลางคืน ใช้แค่สายตามองไปข้างหน้า แล้วเหมือนเห็นอะไรแวบ ๆ เราก็จะตีความว่าเป็นผี หรือเวลานอนแล้วตายังไม่ปิดสนิท มองเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ก็จะคิดว่าเป็นผีได้เหมือนกันครับ

GC: แล้วพี่เอกล่ะคะ สำหรับพี่ ผีคืออะไร?

พี่เอก: ผีสำหรับเราคืออะไรน่ะเหรอ โอ้ มันตอบได้หลายมิติเลยนะ เอาแบบมิติที่ผุดขึ้นมาตอนนี้ก่อนละกัน คือสำหรับผม ‘ผี’ คือสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร อะไรก็ตามที่เรามองไม่ออกว่านั่นคืออะไร แบบ เฮ้ยอะไรวะ! มันคือผีหรือเปล่าวะ จริง ๆ มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้เลยนะ แต่มันเป็นสิ่งที่เราอธิบายไม่ได้ก่อน ทีนี้พอเข้าใจแบบนั้นแล้ว เดี๋ยวค่อย ๆ ขยายความกันต่อในมิติอื่นก็ได้

GC: คิดว่าโลกหลังความตายมันแบ่งตามศาสนาไหม เช่น ถ้าเป็นคนพุทธก็ตายไปเป็นผีพุทธ ขึ้นสวรรค์พุทธ ไม่ปนกับศาสนาอื่น?

พี่เอก: ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าเกี่ยวกับศาสนาโดยตรงนะ มันน่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคนยึดถือมากกว่า สมมติว่าเขายึดถือความเชื่อแบบพุทธ เขาก็จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ในแบบพุทธ เช่น เจอนรก เจอสวรรค์แบบพุทธ เพราะสิ่งที่เขานึก คิด และเห็นตอนยังมีชีวิต มันฝังอยู่ในจิตใจเขา มันเลยดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่น ทั้งที่จริง ๆ มันก็อยู่ร่วมกันทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเขาเลือกจะเห็นเฉพาะสิ่งที่เขาเชื่อเท่านั้นเอง นี่คือความเข้าใจของเรานะ

GC: สำหรับพี่คุ้ย การปราบผีเป็นศาสตร์สากลได้ไหม? เช่น ผีคริสต์กลัวพระไทยได้หรือเปล่า หรือผีไทยจะกลัวไม้กางเขนบ้างไหม? หรือว่าการไล่ผีต้องเป็นไปตามศาสนาที่ผีเชื่อเท่านั้น?

พี่คุ้ย: จริง ๆ แล้วมันมีเงื่อนไขอยู่นะครับ เช่น บาทหลวงจะปราบผีได้ก็ต่อเมื่อผีนั้นเป็นคนที่นับถือคริสต์ เพราะนั่นคือกรอบของความเชื่อของเขา อีกอย่างคือ โดยทั่วไปทางศาสนาคริสต์เขาไม่เชื่อเรื่องคนตายแล้วกลายเป็นผีนะครับ เขาเชื่อในเรื่องของซาตาน ปีศาจ หรือเทวดาในความหมายทางศาสนามากกว่า

ส่วนของพุทธ หรือความเชื่อแบบไทย ๆ จะมองว่าผีอาจเป็นสัมภเวสี วิญญาณคนที่ตายแล้วไม่ได้ไปผุดไปเกิด ผูกติดกับบางอย่างอยู่ ซึ่งการปราบผีในแนวพุทธก็จะมีวิธีอีกแบบ เช่น ใช้น้ำมนต์ เฆี่ยนด้วยไม้มงคล ทำพิธีสวด มีขั้นตอนที่หลากหลายขึ้นอยู่กับบริบทครับ

GC: แล้วจุดเริ่มต้นของหนัง ท่าแร่ มาจากไหน ทำไมถึงอยากเล่าเรื่องบาทหลวงไล่ผีในเมืองไทย?

พี่คุ้ย: ตอนที่ได้รับพล็อตมาผมรู้สึกทันทีเลยว่าอยากทำ เพราะมันเป็นภาพใหม่มาก ๆ คือพอพูดถึงบาทหลวงไล่ผี เราก็จะนึกถึงหนังฝรั่งทันที เลยคิดว่างั้นถ้าเราจะเอาเรื่องนี้มาอยู่ในบริบทแบบไทย ๆ บ้างได้ไหม ซึ่งพอลองอ่านเรื่องราวไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่ามันอยู่ได้นะ และมันไม่รู้สึกขัดเขินเลยด้วย

ทีนี้พอเห็นภาพชัดขึ้นว่ามันทำได้ มันเลยรู้สึกตื่นเต้น เรารู้สึกเลยว่าจะทำมันออกมาในโทนที่ทั้งสยอง ขึงขังและจริงจังได้ เหมือนกับการที่เราเคยนึกภาพ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ขับยานเอ็นเตอร์ไพรส์ใน Star Trek มันดูหลุดโลกมาก ๆ แต่วันหนึ่ง ถ้าเราทำให้มันเกิดขึ้นในประเทศไทยได้จริง ๆ แค่นึกก็ว้าวแล้วครับ

เบื้องหลังการทำงานในท่าแร่ การตีความตัวละคร และการลงพื้นที่จริงแบบคลุกวงใน

GC: ตอนเริ่มทำ ท่าแร่ ทีมงานใช้วิธีรีเสิร์ชยังไงบ้าง? ได้คุยกับบาทหลวง ชาวบ้าน หรือคนในชุมชนจริงไหม?

พี่คุ้ย: มีสามส่วนหลัก ๆ เลยครับ ส่วนแรกคือการไปศึกษาและลงพื้นที่ท่าแร่จริง ๆ เพื่อดูบริบทของชุมชน อีกส่วนคือการไปพบบาทหลวง เพื่อสอบถามว่าสิ่งที่เราจะนำเสนอขัดต่อหลักความเชื่อหรือความศรัทธาหรือเปล่า เราต้องมั่นใจว่าเรานำเสนอด้วยความเคารพ ส่วนสุดท้ายคือหมอเหยา เราได้รีเสิร์ชจากทั้งแม่หมอโอปอ ซึ่งเป็นหมอเหยาจริง ๆ และครูคิม ผู้ที่ศึกษาด้านนี้อย่างจริงจังครับ

GC: เวลานำเสนอ ‘หมอผีอีสาน’ กับ ‘บาทหลวงคริสต์’ ให้อยู่ในเรื่องเดียวกัน มีอะไรที่คิดว่าต้องระวังเป็นพิเศษไหม มีข้อจำกัดทางวัฒนธรรมที่ต้องรับมือหรือเปล่า

พี่คุ้ย: จริง ๆ แล้ว เราสร้างท่าแร่ในเชิงบวกนะครับ ค่อนข้างเชิดชูด้วย เราระมัดระวังตรงนี้มาก สิ่งที่เราทำจะผ่านการสอบถามและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญอย่างถี่ถ้วน จนสุดท้ายเราก็ให้ท่านสาธุคุณและหมอเหยาได้ดูก่อน ซึ่งทั้งสองท่านก็ให้ฟีดแบคกลับมาในแง่บวก และบอกว่าเราทำในสิ่งที่เขาคาดหวังไว้แล้วมันออกมาดีครับ

GC: แล้วระหว่างการทำ ท่าแร่ มีอะไรที่ทำให้มุมมองพี่ต่อเรื่อง “ผี” เปลี่ยนไปไหม?

พี่เอก: สิ่งที่ได้เรียนรู้เลยคือ ไอ้เหี้ย หนังผีนี่มันสนุกว่ะ ฟังดูตลกแต่เรื่องจริงนะ รู้แบบนี้น่าจะเล่นตั้งนานแล้ว (หัวเราะ) จริง ๆ เราไม่ค่อยดูหนังผีเท่าไหร่ โดยเฉพาะแนวที่คุ้ยทำ แต่ ธี่หยด นี่ชอบมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้มาเจอกันในท่าแร่ หลังรอบสื่อก็ยังไปดูอีกสองรอบ IMAX รอบหนึ่ง แล้วก็มีน้องมาชวนไปอีกรอบ อ่ะ ก็ไป เพราะอยากเห็นความต่างของแต่ละโรงหนัง แล้วก็ยังรู้สึกว่ามันดีอยู่ ประทับใจคุ้ยเลย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวนะ

พี่คุ้ย: บ้านเราก็อยู่ใกล้กันด้วยนะพี่

พี่เอก: ใช่ แล้วหลังจากดูจบ คุ้ยก็เดินมาบอกว่า “พี่เอกครับ พี่เป็นไทป์ของผมเลยนะ” เราก็คิดในใจ เออ กูเป็นไทป์แคสต์ แล้วมึงจะแคสต์กูไหม (หัวเราะ) แล้วคุ้ยมันก็รับบอกว่าแคสต์ดิพี่ ๆ เราก็เลยย้ำไปว่า เออ แต่บทต้องดีนะเว้ย ไม่ดีไม่เล่นนะเว้ย

พี่คุ้ย: บทดี ๆ อย่างเรื่องนี้พี่ก็พูด (ทำเสียงคำราม) ตั้งแต่ต้นจนจบเลย

พี่เอก: เออ ไม่ได้พูดอะไรเลย ซึ่งดีมาก (หัวเราะ) จริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานคุ้ยก็ไลน์มาจริง แล้วบอกว่ามีบทแล้ว

พี่คุ้ย: จำได้ ตอนนั้นผมแวะไปคุยแถวบ้านพี่เลย

พี่เอก: ใช่ แล้วเขาก็บอกว่า พี่ เล่นเป็นอดีตบาทหลวงนะ เราก็แบบ เฮ้ย เท่ว่ะ

ทีมงาน: แต่เขาให้เป็นอดีตบาทหลวงนะพี่ (แซว)

พี่เอก: โถ่ เห้ย อย่าเพิ่งแย่งเล่าสิกูกำลังจะเล่าเลย (หัวเราะ) อ่ะ ก็หลังจากคิดแบบนั้น คุ้ยก็บอกต่อว่า แต่มันเป็นอดีตนะ เราก็เอาวะ อยากใส่ชุดบาทหลวง ถึงจะเป็นอดีตบาทหลวงก็เถอะ

พี่คุ้ย: ซึ่งผมชอบตอนพี่เอกอ่านบทนะ ก็บอกว่าเออเดี๊ยวพี่ได้แต่งตอนเป็นหนุ่ม ๆ เอา

พี่เอก: เออ ก็ใช่ไง พอบอกว่าอดีต เราก็คิดว่ามันต้องมีฉากที่ได้เป็นหนุ่มใช่ไหม แล้วไปทำ deepface เอา คุ้ยก็บอกแต่มันลงทุนสูงนะพี่ พอไปลองอันอื่นก็ไม่เนียนหน้าหลุด ก็เถียงกันอยู่สักพักจะเอาให้ได้

ประเด็นหลักอีกอย่างคือเรื่องผีเข้า ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าผีหรือปีศาจอะไรไม่รู้ แต่ความเชื่อคนแถวนั้นคือ ถ้าผีเข้าปุ๊ปเขาจะตีความว่าเป็นผีปอปไปก่อน ปอปจริงไม่จริงไม่รู้ ไปดูกันเอาเอง แต่นั่นแหละ เป็นบาทหลวงที่โดนปอปเข้า แหม่ มันท้าทาย แล้วไม่ได้แค่เข้า ยังมีผีออกด้วย เนี่ย ไม่ธรรมดานะ มันท้าทายในการแสดงมาก เพราะต้องเล่นหลายเลเยอร์ ว่าแต่คำถามถึงไหนแล้วนะ

ทีมงาน: มุมมองที่มีต่อผีพี่

พี่เอก: เอ้าหรอ งั้นตอบไปแล้ว ก็บอกว่าเออหนังผีมันสนุกดี ส่วนที่เหลือแค่ส่วนขยาย (หัวเราะ)

GC: ถ้าอย่างนั้นตอนที่ได้รับบท ‘ตามิ่ง’ ครั้งแรก พี่เอกเริ่มต้นตีความตัวละครนี้ยังไง? มีคำถามอะไรในใจที่ต้องหาคำตอบไหม?

พี่เอก: สิ่งที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนเลย และอาจจะเป็นคำตอบเดียวที่ต้องเคลียร์กันให้ชัด ก็คือเรื่องของวิธีการนำเสนอ คือตัวเรื่องมันน่าสนใจอยู่แล้ว มันมีความลึกซึ้งทั้งในแง่ของเรื่องผี เรื่องเหนือธรรมชาติ ไปจนถึงความสัมพันธ์กับลูกกับเมีย ซึ่งมันตอบโจทย์ในระดับเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ยังต้องตกลงกันให้ชัดคือ 'การตีความ' ที่จะออกมาในรูปแบบการแสดง

เพราะเราไม่ได้สนใจว่าพอเป็นหนังผีแล้ว นักแสดงจะต้องทำตัวเป็นผี หรือถ้ายิ่งเล่นเป็นผีปอบ เป็นปีศาจอะไรพวกนั้น มันก็จะมีสูตรสำเร็จแบบในหนังฝรั่ง ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่สนใจตรงนั้น สิ่งที่เราสนใจคือเรื่องราวคืออะไร ความรู้สึกภายในของตัวละครคืออะไร แล้วจากตรงนั้นค่อยกลั่นออกมาเป็นรูปแบบการแสดง จะออกมาเป็นท่าทางแบบไหนก็แล้วแต่ ไม่ได้มีกรอบ

เราก็คุยกับคุ้ยว่าต้องแสดงแบบแลบลิ้นปลิ้นตา อะไรแบบนั้นไหม คุ้ยก็บอกเลยว่า ไม่มีครับ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของคน เป็นเรื่องของความรู้สึก แล้วการแสดงที่ออกมาก็ไปในทางนั้น ซึ่งมันตรงกับที่เราคิดไว้ พอได้คำตอบนี้ เราก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วครับ

GC: การแสดงเป็นคนที่ถูกครอบงำหรือไม่ปกติทางจิต ต้องมีสมดุลระหว่าง “ความจริง” กับ “ความลึกลับ” พี่สร้างสมดุลนี้ยังไง?

พี่เอก: ไม่ต้องสร้างเลย มันจะมีโมเมนต์ของมันอยู่แล้ว ว่าตอนไหนควรจะเบอร์ไหน ยังไง มันจะพาไปตามเรื่องราวเอง สมดุลจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของสถานการณ์ ไม่ใช่อะไรที่เราต้องไปบังคับให้เกิด

GC: จากการเล่นบทนี้ พี่ค้นพบอะไรเกี่ยวกับ ‘ศรัทธา’ หรือ ‘ปีศาจในตัวมนุษย์’ ไหม?

พี่เอก: เราไม่ได้รู้สึกว่าคำว่า ‘ค้นพบ’ จะเหมาะเป๊ะซะทีเดียว เพราะมันอาจจะฟังดูยิ่งใหญ่หรือจริงจังเกินไปนิดนึง เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราพูดถึง มันคือความเชื่อที่เรามีอยู่แล้วนั่นแหละ แต่จะเรียกว่าค้นพบก็ได้ เพราะมันทำให้บางอย่างกระจ่างขึ้น ชัดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ศรัทธา’ กับ ‘ปีศาจ’ ที่หนังพูดถึง

คือเราเห็นชัดมากเลยว่า ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะในยุคโบราณ ยิ่งลงลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์เท่าไร ศรัทธายิ่งกลายเป็นแก่นสำคัญของการมีอยู่ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ แม้วันนี้จะมีเหตุผล มีวิทยาศาสตร์ มีข้อมูลมากมายที่เข้ามาถ่วงดุลหรือท้าทายศรัทธา แต่ศรัทธานี่แหละ มันไม่เคยหายไป

และเราก็ได้เห็นชัดเจนอีกว่า เมื่อศรัทธารุนแรงขึ้น เข้มข้นขึ้น มากล้นจนเกินพอดี จนขาดสติ ศรัทธานั้นก็อาจจะกลายเป็นปีศาจได้ในที่สุด

อันนี้ชัดเจนมากในเรื่อง ท่าแร่ นะ อย่างน้อยอินเนอร์ข้างในของเรา เรารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ถึงขั้นขนลุก เพราะเรารู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันชัดมาก และนั่นแหละ คือประโยชน์ของศิลปะของภาพยนตร์ ที่ไม่ใช่แค่ทำมาให้ดูสนุก ๆ แล้วจบไป

แม้กระทั่งหนังที่เป็น Box Office ทำเงินพันล้านก็เถอะ มันก็ยังซ่อนบางอย่างไว้ให้เราค้นหาได้ลึก ๆ เหมือนกันนะ อย่างน้อยเราคนนึงที่มีโอกาสได้ถ่ายทอดมัน ก็เจอเข้าเต็ม ๆ เลย เพราะฉะนั้นเราก็หวังว่า คนดูจะเปิดใจ ไม่ปิดกั้นตัวเอง แล้วอาจจะเจอบางอย่างที่น่าสนใจมาก ๆ จากหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ประเด็นนี้นะ ยังมีอีกหลายเรื่องเลย อย่างที่พี่คุ้ยชอบพูดบ่อย ๆ ว่าพิธีกรรม ความเชื่อต่าง ๆ พอมาปะทะกัน มันจะเป็นยังไง จะขัดแย้งหรือเกื้อหนุนกันยังไง สนุกมากครับ

บาทหลวงคริสต์ VS หมอผีอีสาน การรวมจักรวาลไล่ผีแบบไทย-หรั่ง สู้ด้วยกันไปได้ไกล

GC: ในหนังท่าแร่ เราจะเห็นการนำเสนอพิธีกรรมไล่ผีของคริสต์กับของไทยอยู่คู่กัน ทั้งสองคนมองว่าสองสิ่งนี้มัน ‘ขัดแย้ง’ หรือ ‘เกื้อหนุน’ กันไหม?

พี่เอก: ขัดแย้งหรือเกื้อหนุนกันไหม ไม่ต้องขัดก็ได้นี่ ไม่เห็นจะต้องขัดกัน ก็ต่างคนต่างทำเพราะสุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการปราบสิ่งชั่วร้าย ใครจะเรียกปีศาจ หรือผีใด ๆ ก็แล้วแต่ ยังไงก็เป้าหมายเดียวกัน

พี่คุ้ย: เล่าให้เห็นภาพการไล่นผี คือฝั่งหมอเหยาเวลาไล่ผีเขาจะพยายามเชิญผีปู่ ผีย่า มาเอาผีที่สิงคนคนนั้นออก ส่วนฝั่งบาทหลวงเขาจะพยายามสวดมนต์ ผมเคยถามบาทหลวงว่า การสวดเนี่ย สวดให้คนที่โดนสิง หรือสวดถึงสิ่งที่อยู่ข้างในโดยตรง ท่านก็ตอบกลับมาว่า สวดให้สิ่งที่อยู่ข้างใน โดยเขาจะเอ่ยนามพระเจ้าขึ้นมา นั่นหมายความว่าในท้ายที่สุด ทั้งสองคนก็พยายามที่จะเอาผีออกเหมือนกัน

GC: คิดว่าคนดูจะ ‘เชื่อ’ การไล่ผีของบาทหลวงไหม? เพราะโดยปกติคนไทยมักอินกับหมอผีสายพุทธหรือพื้นบ้านมากกว่า

พี่เอก: จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยครับ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องมานั่งคิด เพราะความเชื่อมันบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเขาจะเชื่อ เขาก็จะเชื่อของเขาเอง อย่างคนที่นับถือศาสนาคริสต์มาดูหนังเรื่องนี้ เขาอาจจะเชื่อ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในความเชื่อนั้น เขาอาจจะไม่เชื่อ ซึ่งก็ไม่เป็นไรเลย มันไม่ได้แปลว่าเขาลบหลู่ อาจจะแค่ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรเท่านั้นเอง

แต่อย่าลืมนะครับว่า 'นี่คือหนัง' และเราเชื่อมั่นในฝีมือของคุ้ย ผู้กำกับ และทีมโปรดักชันทุกคน ว่าหนังมันจะทำงานของมันเองได้แน่นอน คือคุณไม่ต้องเชื่อก็ได้ว่าบาทหลวงจะไล่ผีได้ไหม แต่เราเชื่อว่า ‘มายา’ ของหนังจะพาคุณไปกับมันได้แน่นอน สุดท้ายแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่ใช่ประเด็น เพราะเมื่อคุณดูหนัง คุณจะถูกหนังพาไปเอง คุณจะอินไปกับมัน ตื่นเต้น เร้าใจ ระทึกขวัญ ตามวิถีของหนังที่มันตั้งใจจะเล่า

ว่าด้วยจักรวาลหนังผีของพี่คุ้ย และความแตกต่างของการสร้าง ‘ผี’ ในท่าแร่

GC: เวลาสร้างหนังผี พี่คุ้ยเริ่มคิดจากอะไรเป็นอันดับแรก ภาพ, ความเชื่อ, เรื่องเล่า หรืออารมณ์ที่อยากถ่ายทอด?

พี่คุ้ย: น่าจะเป็น ‘เนื้อเรื่อง’ ก่อนครับ เพราะถ้าเราได้เรื่องที่น่าสนใจ มันจะต่อยอดไปยังองค์ประกอบอื่น ๆ ได้หมด เหมือนเราเจอไอเดียที่ใช่ แหล่งข้อมูลในการคิดนี่แหละครับสำคัญที่สุด พอเราได้เรื่องที่รู้สึกตื่นเต้นและอยากเล่า ทุกอย่างมันจะตามมาเอง ไม่ว่าจะเป็นภาพ ความรู้สึก หรือรายละเอียดทางความเชื่อ

GC: แล้ว ‘ผี’ ใน ท่าแร่ แตกต่างจากผีที่พี่เคยสร้างใน ธี่หยด, ทองสุก 13, หรือ ขุนกระบี่ ผีระบาด อย่างไร?

พี่คุ้ย: จริง ๆ ผีแต่ละเรื่องมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันนะครับ เช่น ขุนกระบี่ ผีระบาด ก็จะเป็นซอมบี้, ทองสุก 13 เป็นผีที่อยู่ในพื้นที่จำกัดแบบห้องปิด ส่วน ธี่หยด เป็นผีตำนาน ผีชุดดำที่เกิดจากคนที่ถูกกระทำด้วยคุณไสย แล้วความอาฆาตทำให้กลายเป็นผี

แต่ใน ท่าแร่ มันต่างออกไป มันไม่ใช่ผีที่เกิดจากคนตายแล้วกลายเป็นผี แต่เป็นสิ่งที่ในความเชื่อของคริสต์จะเรียกว่า ‘ปีศาจ’ ส่วนทางหมอเหยาจะเรียกว่า ‘ผี’ ที่เหลือบอกไม่ได้แล้วครับ สปอย

GC: ทุกวันนี้คนดูหนังผีก็ดูจะรู้ทันมุกหรือโครงสร้างมากขึ้น พี่มีวิธีทำให้คนดูยังกลัวหรืออินอยู่ยังไง?

พี่คุ้ย: ผมว่าสิ่งที่คนกลัวที่สุดยังคงเป็นเรื่องพื้นฐานครับ เรื่องง่าย ๆ เลย แต่อะไรที่เราต้องพัฒนาคือ ‘จังหวะ’ ของการหลอก สมัยก่อนอาจจะมีแค่ หนึ่ง สอง สาม แล้วโผล่ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะเป็น หนึ่ง สอง สาม ไม่โผล่ แล้วไปโผล่ที่สี่ หรือที่ห้า แทน ซึ่งมันทำให้คนดูคาดเดาไม่ได้ และยังสร้างความกลัวได้อยู่ครับ

‘เรื่องผี’ กับ ‘ภาพยนตร์ไทย’ หัวข้อที่ทำกี่ครั้งก็ยังใหม่ เพราะเรื่องผีในไทยยังเล่าได้อีกเยอะ

GC: พี่คิดยังไงกับคำพูดที่ว่า “หนังไทยมีแต่ผีกับตลก” มองว่าเป็นจุดแข็งหรือข้อจำกัดของวงการภาพยนตร์ไทย?

พี่คุ้ย: จริง ๆ แล้ว เราต้องแข่งกับหนังต่างประเทศครับ แล้วสิ่งที่เราสู้ได้ก็คือ ‘ผี’ ส่วนความตลกเนี่ย ผมว่ามันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมแต่ละประเทศอยู่แล้ว อย่างหนังตลกของเราอาจจะไม่เวิร์กในประเทศอื่น แต่พออยู่ในประเทศเราเอง มันเวิร์ก เพราะมีทั้งเรื่องของบอดี้แลงเกจ เรื่องของภาษา จังหวะที่เข้าใจร่วมกัน มันเลยทำงานได้ดี

ผมคิดว่าหนังสยองขวัญเริ่มสร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่สองปีที่แล้ว อย่าง ร่างทรง, สัปเหร่อ พวกนี้เป็นตัวอย่างว่าหนังผีไทยกำลังเกิดกระแส อีกอย่าง หนังผีไทยมันกลายเป็น soft power ที่ส่งออกไปต่างประเทศได้แล้วด้วยนะ ถ้าเทียบกันทั่วโลก หนังผีไทยมีน้ำหนักเทียบเท่าเลยครับ อยู่ในสังเวียนเดียวกัน ขึ้นชกกันได้ ต่างกันแค่สีผิวสีผมเท่านั้นเอง

สิ่งที่เราต้องการคือแค่บรรยากาศ ความลึกลับ ความหลอน ไม่ต้องมีสัตว์ประหลาด ไม่ต้องมีฮีโร่บินได้ ไม่ต้องมีตึกถล่ม เราแค่ต้องการ ‘ผี’ กับ ‘ความลี้ลับ’ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าหนังผีเป็นทางรอดของเรา แล้วก็ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งมาบูมตอนนี้นะครับ เราโตมากับหนังผีมาตั้งแต่เด็ก มีทั้ง แม่นาค ผีหัวขาด ผีปอบ ผีฟ้า เราเสพหนังผีกันมาตลอด

เมืองไทยเราเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผี แม้แต่ม้าลายก็กลายเป็นผีได้ ตุ๊กตานางรำก็กลายเป็นผีได้ เสาต้นนึงก็ยังถูกเล่าว่ามีผีสิง เราเชื่อว่าทุกอย่างมีวิญญาณสถิตอยู่ มันเลยทำให้เรามีบริบทในการเล่าเรื่องผีที่เข้มแข็ง และเล่าง่ายมาก

หนังผีเลยกลายเป็นกิจกรรมกลุ่มที่ชวนคนเข้าโรงได้ เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะอะครับ คนเราจะไม่อยากนั่งคนเดียว แต่ถ้ามีเพื่อนมานั่งด้วยกันก็กล้านั่ง และหนังผีก็ให้ความรู้สึกแบบนั้น มันเหมือนหนังตลกที่เราดูแล้วอยากหัวเราะพร้อมกันกับคนอื่น ๆ

พี่เอก: เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบพูดเล่นแบบนี้เหมือนกันนะ คือไม่ได้ปฏิเสธเลย ผมว่าหลายคนที่พูดแบบนี้ก็คิดคล้าย ๆ กันแหละ คือไม่ได้รังเกียจหนังผีหรือตลกหรอก เพียงแต่ว่ารู้สึกว่ามันมีแค่นี้เหรอ?

เราไม่ได้บอกว่าอย่าทำหนังผีหรือหนังตลกนะ ทำไปเถอะ ทำต่อไปเลย ยิ่งทำได้ดี ยิ่งควรทำ แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีอย่างอื่นเพิ่มด้วย ตรงนี้แหละที่ภาครัฐหรือแม้แต่นักลงทุน สตูดิโอต่าง ๆ ควรเข้ามาช่วยสนับสนุนงานประเภทอื่น ๆ ด้วย

เมื่อวานผมเพิ่งไปงาน TCX หรือ Thai Content Experience มา ไปเล่นบ้านผีสิงมาด้วยนะ โคตรสนุกเลย! อย่างที่คุ้ยบอกนั่นแหละ มันเป็นกิจกรรมกลุ่ม ทั้งเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ก็เล่นได้หมด ผีเป็นเรื่องที่อยู่กับเราตั้งแต่เด็กแล้ว เด็กยังกลัวเลย แต่ในขณะที่กลัวก็ยังอยากดู อยากเล่น อยากลองอยู่ดี

ผมว่ามันครบทุกอารมณ์นะ กลัว หัวเราะ ตกใจ โกรธ แล้วก็หัวเราะอีก มันเลยไม่มีทางหายไปหรอก เพราะฉะนั้นเวลามีคนพูดว่า เมืองไทยมีแต่หนังผีกับตลก ผมถึงมักจะพูดเหมือนกันว่า "ก็เพราะมันจริง" และสิ่งที่จะเปลี่ยนภาพนี้ได้ก็คือ ต้องผลิตหนังประเภทอื่นให้มากขึ้นเท่านั้นเองครับ

GC: ในฐานะผู้กำกับที่เล่นกับเรื่องความเชื่อและความน่ากลัว พี่คิดว่า “ความน่ากลัว” ในหนังของพี่ แตกต่างจากผู้กำกับหนังผีคนอื่นยังไง?

พี่คุ้ย: ผมว่าอันนี้ผมไม่ควรเป็นคนตอบเองนะครับ ควรเป็นคนดูหรือคนอื่นมากกว่าที่จะบอกได้ เพราะผมเชื่อว่าความแตกต่างมันอยู่ที่ตัวคนทำอยู่แล้ว ต่อให้เป็นบทเดียวกัน แล้วให้ผู้กำกับห้าคนมากำกับ ยังไงมันก็จะออกมาไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของลายเซ็น วิธีการเล่า และการตีความส่วนตัว

GC: ขอปิดท้ายสนุก ๆ หน่อย สมมติว่าพี่ต้องเข้าไปอยู่ในหนังผีเรื่องหนึ่งของตัวเอง จะเลือกอยู่ในเรื่องไหน แล้วทำไม?

พี่คุ้ย: ของผมน่าจะเป็น ขุนกระบี่ ผีระบาด ครับ เพราะผมชอบซอมบี้ แล้วผมมีบ้านที่อยู่ชั้นสอง ผมรู้แล้วว่าถ้ามันบุกมา ผมเอาตัวรอดได้ ผมทำรั้วไว้รอบบ้านแล้ว แล้วผมก็ฝึกวิ่งเพื่อหนีซอมบี้ด้วยนะ วิ่งได้สิบกิโลไม่หยุดเลย ผมน่าจะช่วยครอบครัวได้ แล้วก็ผมมีอุปกรณ์แบบอนาล็อกเยอะมาก โดยเฉพาะการ์ตูน ถ้าไฟดับ ผมก็ยังมีอะไรอ่านไปตลอดชีวิต สบายใจได้ครับ (หัวเราะ)

พี่เอก: อยากอยู่ในหนังผีเรื่องไหนก็ได้ ขออย่างเดียว ขอให้ผีสวยหน่อย (หัวเราะ) ซึ่งนึกไปนึกมา มันตรงกับ ผีอนงค์ ทุกอย่างเลย โบว์ เมลดา! ดูแค่ตัวอย่างก็หลงรักแล้ว โอ้โห ขอไปอยู่ในหนังเรื่อง อนงค์ ก็แล้วกัน... แต่ก่อนอื่นเดี๋ยวไปดูท่าแร่ก่อนนะ

สามารถรับชมภาพยนตร์เรื่องท่าแร่ได้แล้ววันนี้ ในทุกโรงภาพยนตร์ ทั่วประเทศ

ขอบคุณภาพประกอบจากทีมงานท่าแร่ และ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล