Jaajr Studio นักสร้างศิลปะทำมือจาก ตัวตน เวลา และจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด

Post on 17 June 2025

Jaajr Studio (จาจาสตูดิโอ) คือชื่อสตูดิโอศิลปะในจังหวัดอุดรธานีของ จ๋า - ธนภรณ์ สุขธนะ ศิลปินและนักออกแบบผู้ชื่นชอบการสร้างของทำมือสารพัดอย่าง และเมื่อเราบอกว่าสารพัด ก็คือเยอะมากจริง ๆ เพราะเธอทำทั้งของแต่งบ้าน จิลเวอรี ไปจนถึงชามเซรามิก ที่ยิ่งเลื่อนดูก็ยิ่งรู้สึกละลานตาในความสวยงามและหลากหลายของงานแต่ละชิ้น จนกลายเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ทำให้เราอยากชวนเธอมาพูดคุยกันในคอลัมน์ Artist on our radar ประจำสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับที่มาที่ไป ความสนใจ และเบื้องหลังการทำงานของเธอ

จ๋าเริ่มต้นเล่าเรื่องราวให้เราฟังด้วยการพูดถึงบรรยากาศของครอบครัว เธอเล่าว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีพื้นฐานด้านงานหัตถกรรม คุณยายและคุณแม่เป็นช่างตัดผ้า อีกทั้งยังเปิดบ้านเป็นร้านขายอุปกรณ์ตัดเย็บ เธอเลยมีโอกาสเรียนรู้การใช้จักรและทำงานกับผ้าตั้งแต่วัยเด็ก

เมื่อเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย เธอก็ได้ไปเรียนต่อปริญญาตรี สาขาการออกแบบ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พอเรียนจบ เธอก็ได้ทำงานประจำที่ Vivienne Westwood ในตำแหน่ง Creative Assistant ดูแลงาน show pieces สำหรับรันเวย์โชว์ ก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทสาขา MA Designer Maker ที่ Camberwell College of Arts, UAL ประเทศอังกฤษ และทำงานใน UAL ในตำแหน่ง Graduate Studio Assistant, Visiting Practitioner และ Technical Lecturer ให้กับนักศึกษาสาขา Product and Furniture Design และ Interior Design เป็นเวลาสองปี

เธอแชร์ความรู้สึกให้เราฟังว่า “ตอนที่จ๋าทำงานกับ Vivienne Westwood มีโอกาสได้ทำโปรเจกต์ร่วมกับช่างฝีมือที่เชียงใหม่ แล้วก็ได้รีเสิร์ชทั้งเรื่องวัสดุและกระบวนการทำงานคราฟหลายอย่างมาก ๆ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก และจ๋าก็ชอบมาก ๆ จนเริ่มรู้ตัวว่าอยากทำงานคราฟที่ได้ลงมือกับวัสดุจริง ๆ และสนุกกับการคิดกระบวนการที่มีความเป็นนวัตกรรมอยู่ในนั้น”

“จากตรงนั้นก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท สาขา Designer Maker ซึ่งเป็นการเรียนที่รวมทั้งการออกแบบและการทำคราฟไว้ด้วยกัน เป็นสาขาที่รู้สึกว่าใช่มาก ๆ แล้วพอได้ไปเรียนจริง ๆ ก็ยิ่งทำให้ชัดเลยว่าชอบทำงานเกี่ยวกับ 'สิ่งของ' ที่มีฟังก์ชั่น และสามารถอยู่ในพื้นที่ของผู้คนได้จริง หลังจากเรียนจบ จ๋าก็ทำงานในมหาวิทยาลัยต่ออีกประมาณสองปี ก่อนจะตัดสินใจกลับไทย แล้วช่วงนั้นแหละที่เริ่มตกตะกอนว่าจริง ๆ แล้วอยากเปิดสตูดิโอที่เน้นการออกแบบงานคราฟโดยเฉพาะ ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักก็จะอยู่ในสาย Product และ Furniture design ค่ะ”

เรายังชวนจ๋าพูดคุยถึงงานศิลปะที่ทำอยู่ในปัจจุบันด้วย ซึ่งเธอก็อธิบายว่า “ปัจจุบันจ๋าเรียกตัวเองว่าเป็น Design Studio ค่ะ เพราะว่าสิ่งที่ทำมันเป็นงานออกแบบล้วน ๆ แล้วก็เป็นงานทำมือทั้งหมดเลย งานหลัก ๆ จะอยู่ในกลุ่ม Home Décor กับ Lighting Design ซึ่งทุกชิ้นมันก็จะมีคอนเซ็ปต์หรือธีมที่วนอยู่กับเรื่องตัวตน เรื่องเวลา แล้วก็พลังงานในจักรวาลที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งเลย”

“กระบวนการทำงานของจ๋าจะเน้นการทดลองเยอะมาก อย่างเวลาหยิบวัสดุสักชิ้นขึ้นมา เราจะไม่ได้มองแค่ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง แต่เราจะอยากรู้ว่ามันพาเราไปได้ไกลแค่ไหน แล้วมันเชื่อมโยงกับเรื่องที่เรากำลังสนใจยังไง มันก็เลยเป็นแนว practice-based คือเริ่มจากการลงมือทำไปพร้อมกับการคิดไปเรื่อย ๆ มันช่วยให้เราเข้าใจบริบทของวัสดุกับเรื่องที่เรากำลังเล่าได้ดีขึ้ค่ะ”

“สำหรับแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็จะมาจากประสบการณ์ส่วนตัวนี่แหละ แต่เรามองว่าหลายอย่างที่เรารู้สึก มันเป็นความรู้สึกที่คนอื่นก็เคยผ่านเหมือนกัน มันเป็นอะไรที่ universal มาก ๆ เราก็เลยอยากแปลงสิ่งพวกนั้นออกมาเป็นของในบ้าน เป็นของที่อยู่ร่วมกับคนในชีวิตประจำวัน”

“เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราทำมันไม่ได้อยากเป็นแค่งานตกแต่งหรือของใช้ธรรมดา ๆ เราอยากเบลอเส้นระหว่าง Art กับ Design ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ทางความรู้สึกด้วย อยากให้ของที่เราทำเป็นตัวกลางที่เชื่อมคนเข้าหากัน และอยากให้บ้านกลายเป็นที่ที่มีความหมายมากขึ้น ผ่านของเล็ก ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือค่ะ”

ศิลปะและสิ่งของที่หลากหลายย่อมมาพร้อมเทคนิคที่หลากหลายเช่นกัน เราเลยถามจ๋าถึงการเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ มาทำงานแต่ละชิ้นว่าเลือกอย่างไร จ๋าเลยเรียงลำดับพัฒนาการการทำงานของเธอให้เราฟังอย่างละเอียดว่า “ขอย้อนกลับไปตอนที่จ๋าเรียนปริญญาโท จริง ๆ ตอนนั้นจ๋ายังไม่รู้เลยนะว่าอยากทำงานออกมาเป็นแบบไหน หรือจะมีเทคนิคอะไรที่เป็นของตัวเอง เพราะคอร์สมันเปิดกว้างมาก ๆ เราจะจบออกมาเป็นอะไรก็ได้เลย ตั้งแต่สาย Fine arts ไปจนถึง Industrial design ก็ยังได้”

“อย่างโปรเจกต์จบของจ๋า จ๋าเลือกทำหัวข้อ 'Shininess' หรือ 'ความแวววาว' ซึ่งก็ถือว่ากว้างมาก ๆ เพราะแรงบันดาลใจมันมาจากประสบการณ์ตอนทำงานในสายจิวเวลรี่ แล้วพอเริ่มคิดงาน ก็เลยออกมาเป็น kinetic art ชิ้นหนึ่ง กับอีกโปรเจกต์ที่ทำคู่กันคือ 'Fan Project' ซึ่งทั้งสองงานใช้เทคนิคงานกระดาษกับพลาสติก โดยเหตุผลที่เลือกใช้วัสดุแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะช่วงนั้นโควิดระบาด มหาวิทยาลัยล็อกดาวน์ เราเลยใช้เวิร์กช็อปของมหาลัยไม่ได้เต็มที่ ก็เลยหาวัสดุที่สามารถทำงานต่อที่บ้านได้ แล้วก็มีใช้เครื่อง laser cut เพื่อให้งานออกมาดูเรียบร้อยและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ ตอนแรกตั้งใจจะใช้กระดาษเงาแค่เป็น mockup เพื่อทดลองกลไกการสะท้อนแสงเฉย ๆ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ แล้วพบว่ากระดาษมันเบาและทำงานได้ดี เลยเปลี่ยนจากที่ตั้งใจจะใช้โลหะมาเป็นใช้กระดาษจริง ๆ เป็นวัสดุหลักของงานแทน”

“หลังเรียนจบ จ๋าก็ได้ทำงานต่อที่ UAL แล้วช่วงที่ทำงานที่นั่นก็ได้ลองใช้ facilities อื่น ๆ ที่ตอนเรียนไม่ได้ใช้ เพราะติดโควิด อย่างเช่นงานเซรามิก ที่ได้ลองทำค่อนข้างบ่อย เพราะเพื่อนร่วมงานเก่งมาก ๆ เราก็เลยได้เรียนรู้จากเขาไปด้วย แล้ว workshop เซรามิกที่นั่นดีตรงที่เราเอางานที่ทำจากบ้านไปฝากเผาได้เลย ไม่ต้องจองคิว ก็เลยทำงานได้สะดวกกว่าสายอื่น ๆ ช่วงที่ทำงานอยู่ UAL ประมาณสองปี จ๋าก็เลยได้ฝึกทำงานกับดินเยอะกว่าวัสดุอื่น”

“พอกลับมาอยู่อุดรธานี จ๋าก็ยังค่อย ๆ ฝึกทำงานดินเองอยู่ที่บ้าน แล้วเวลาจะเผาก็เอาไปฝากเพื่อนที่เปิดสตูดิโอเซรามิกในตัวเมือง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะยึดงานเซรามิกเป็นเทคนิคหลักนะ เพราะก็ยังชอบทดลองกับวัสดุอื่น ๆ อยู่เหมือนเดิม แต่พอคุณยายเห็นจ๋าทำงานดินบ่อย ๆ แถมขนงานเข้าเมืองไปเผาบ่อย ๆ วันหนึ่งช่วงเมษายนปีที่แล้ว ยายก็ถามว่าอยากได้เตาเผาเซรามิกมั้ย ถ้าอยากได้ยายให้ยืมเงินไปซื้อ สุดท้ายพอมีเตา ก็เลยทำให้รู้สึกว่าสตูดิโอมันจริงจังขึ้น และเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง”

“พูดได้เลยว่าถ้าไม่มีคุณยาย Jaajr Studio ก็คงยังไม่มาไกลขนาดนี้ เพราะจ๋าก็คงไม่กล้าลอง หรือได้ฝึกทำงานเซรามิกเท่าทุกวันนี้แน่ ๆ เพราะตอนที่ต้องเอางานไปฝากเผา มันมีแตกบ่อยมาก เพราะต้องขนขึ้นรถไปไกล ก็เลยยิ่งรู้สึกขอบคุณคุณยายมาก ๆ แม้ว่าคุณยายจะบอกบ่อย ๆ ว่ายายไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่จ๋าทำ แต่ความเข้าใจไม่จำเป็นเท่าการสนับสนุนเลยจริง ๆ”

ในตอนท้าย จ๋ายังแชร์ให้ฟังถึงสิ่งที่อยากทำต่อไปในอนาคตด้วยว่า “ตอนนี้จ๋าอยากลองทำงานกับ material อื่น ๆ เพิ่มขึ้นค่ะ อย่างตอนนี้ก็กำลังทดลองทำโคมไฟที่มีการใช้ผ้าเข้ามาร่วมด้วย หรืออย่างน้อยก็อยากให้งานผ้ามีบทบาทในงานมากขึ้น จ๋ายังคงชอบหัวข้อเรื่อง 'ความแวววาว' อยู่เหมือนเดิม เลยคิดว่าในอนาคตน่าจะมีการใช้ material อย่างโลหะ หรือวัสดุที่เคลือบเงินเพิ่มเติมเข้ามาด้วย เพราะมันยังมีหลายมิติที่น่าค้นหาอยู่”

“แต่ถ้ามองในภาพรวมมาก ๆ สิ่งที่อยากให้ Jaajr Studio กลายเป็น ก็คือสตูดิโอที่ออกแบบผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ค่ะ เพราะจริง ๆ แล้ว งานที่จ๋าชอบทำจะเป็นสเกลที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย (ถ้าเทียบกับตอนทำจิวเวลรี่) อยากทำโคมไฟ เฟอร์นิเจอร์อย่างเก้าอี้ โต๊ะ หรือตู้ แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่กำลังมองหาความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะสตูดิโอตั้งอยู่ในต่างอำเภอ ค่อนข้างห่างจากกลุ่มลูกค้า จ๋าเลยค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ลอง ว่าจะขยับเติบโตไปในทิศทางที่ตั้งใจไว้ได้ยังไงบ้าง”

“ดังนั้น สิ่งที่จ๋าอยากให้ Jaajr Studio เป็นในระยะยาว ก็คือสตูดิโอที่สามารถผลิตผลงาน product & furniture design ที่มีคุณภาพ ใช้งานได้จริง และมีความหมายกับผู้ใช้งาน อยากให้งานที่ออกมา มีความ 'universal' ที่จะสามารถ connect ผู้คนเข้าหากันได้ จริง ๆ ก็หวังให้แบรนด์โตไปถึงระดับโลกด้วยค่ะ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุด ก็คือการสร้างพื้นที่ให้คนในชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน และสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้กลับมาอยู่บ้าน เหมือนที่จ๋าได้กลับมาอยู่บ้านอีกครั้งเหมือนกันค่ะ”

Shadow Plate Collection Diameter, 18-24 cm. 2024.

คอลเลคชันนี้เป็นผลงานคอลเลคชันแรกที่ทำในฐานะ Jaajr Studio เป็นงานจานรูปเงาหน้าคน เป็นชิ้นที่ได้เรียนรู้เยอะมาก ๆ เกี่ยวกับงานเซรามิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ tableware และเป็นงานชิ้นแรกที่ออกแบบมาเพื่อให้มีฟังก์ชั่น และ ต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง ๆ รวมไปถึงต้องคิดเรื่องต้นทุน กำไร และกลุ่มลูกค้า หรือการผลิตวางขาย

เป็นโปรเจกต์ที่เรียนรู้เยอะมาก ๆ โดยจ๋าเริ่มทำคอลเลคชันนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน แต่ทำเท่าไรก็แตกเกือบหมด เป็นเพราะคอลเลคชั่นนี้เหมือนกันที่คุณยายเห็นเลยอยากให้ซื้อเตาเป็นของตัวเอง พอมีเตาก็ยังผลิตขายไม่สำเร็จเหมือนกัน ใช้เวลานานมาก ๆ รวมกว่าแปดเดือน กว่าจะทำให้จานรอดออกมาขายได้ในที่สุด ระหว่างแปดเดือนนั้นก็ขายอะไรไม่ได้เลย ท้อมากๆแต่ก็อดทนทำให้สำเร็จจนได้ เลยรู้สึกว่าคอลเลคชั่นนี้เป็นความท้าทายและบทเรียนหลาย ๆ อย่างให้เราค่ะ

คอนเซปต์ของงานนี้จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง อาหาร และวัฒนธรรมการกิน ซึ่งจ๋ามองว่ามันคือพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่แต่ละบ้านมีแตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือการทานร่วมกันของสมาชิคภายในบ้าน โดยจะสื่อสารผ่านรูปร่างของคนสองคน ในที่นี้คือ Ken และ Molly ค่ะ จ๋ามองว่าอาหารและตัวตนเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ การใช้เส้นเงารุปคนที่เป็นภาชนะใส่อาหารจึงเปรียบเหมือนการเล่าเรื่องบนโต๊ะกินข้าว และสร้างสีสันให้อาหารแต่ละมื้อค่ะ

Explosion, stoneware ceramic sculpture 45x45x55 cm. 2023.

ชิ้นนี้เป็นงานประติมากรรมเซรามิกที่ทำระหว่างที่ทำงานอยู่ที่ UAL เป็นอีกชิ้นที่สเกลใหญ่กว่าชิ้นปกติที่ทำและเป็นฟอร์มที่มีความท้าทาย ชิ้นนี้จ๋าสำรวจการขึ้นฟอร์มในแนวตั้ง ผ่านรูปทรงกรวยแหลมคล้ายดาว ซึ่งจ๋าจะใช้โมทีฟรูปดาวอยู่บ่อย ๆ ในงานชิ้นอื่น ๆ เพื่อสื่อถึงความจริงความฝัน และการกึ่งหลับกึ่งตื่น โดยจะมีการใช้แสตมป์รูปดาวปั๊มอยู่บนพื้นผิวฟอร์มด้วย

ในส่วนของการเผาเคลือบ จ๋าเลือกจะเคลือบแค่เฉพาะส่วนปลายที่เป็นรอยตัดของกรวย และในรอยแสตมป์รูปดาวเท่านั้น เพื่อเล่นกับการตีความของ human perception ราวกับว่าฟอร์มนี้เต็มไปด้วยพลังงานภายในที่พร้อมจะระเบิดออกมา โดยเนื้อหาของคอนเซปงานนี้จะมาจาก anxiety และ depression ที่จ๋าประสบระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ โดยจ๋าได้ใช้การทำงานกับดิน เซรามิก และงานคราฟในการรับมือกับภาวะดังกล่าว และเกิดเป็นผลงานชิ้นนี้ขึ้น

จากผลงานชิ้นนี้จ๋าได้ใช้เทคนิคการปั๊มสแตมป์และเคลือบในรอยพื้นผิวกับผลงานชิ้นต่อ ๆ มา เช่นงานออกแบบเครื่องประดับ Lagoon Lagoon necklace และในอนาคต จ๋ายังอยากสำรวจฟอร์มในลักษณะนี้ และการใช้เคลือบในการเล่นกับ human perception เพิ่มเติมด้วย

ความพิเศษของงานชิ้นนี้ คือมันเป็นงานที่เรานั่งทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการสเก็ตซ์เลย จ๋ามีแค่ภาพในหัว และถึงแม้ว่าจะต้องปั้นสองรอบ เพราะรอบแรกงานแตกระหว่างขนย้าย แต่การผลิตผลงานชิ้นนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและออกมาดีกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะเคลือบตัวนี้เป็นเคลือบตัวโปรดด้วย แต่ไม่ได้ส่งกลับมาไทยด้วย เอามาเฉพาะกิ่งเล็ก เลยเสียดายและคิดถึง เลยเลือกนำมาเสนอค่ะ 🙂

Chinese Zodiac Wall Tiles 9x12x1.5 cm. 2025.

ชิ้นนี้เป็นงานขายล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาเดือนก่อน เป็นกระเบื้องลายปีนักษัตร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความที่ว่าจ๋าเกิดในครอบครัวคนจีน เลยมีความคุ้นเคยกับปีนักษัตรแบบตะวันออก มากกว่าการนับราศีแบบตะวันตก และได้แรงบันดาลใจจากคุณยายด้วยค่ะ เพราะคุณยายเกิดปีมะเส็ง และปีนี้ก็เป็นปีมะเส็งเหมือนกัน เดือนก่อนก็เป็นเดือนเกิดคุณยาย ซึ่งถ้าคุณยายยังอยู่ก็จะมีอายุ 84 ปีค่ะ

โดยงานชิ้นนี้ตั้งใจจะทำออกมาเพื่อให้เป็นตัวแทนของเจ้าของบ้านและคนที่เรารัก อย่างรูปกลาง จะเป็นรูปนักษัตร ปีมะเส็ง-คุณยาย ปีฉลู-คุณพ่อคุณแม่ ปีจอ-จ๋า ซึ่งเป็นตัวแทนของคนในบ้านจ๋าเอง ซึ่งจ๋าคิดว่าบ้านคือพื้นที่ที่เก็บรวบรวมตัวตนของผู้อยู่อาศัย การรายล้อมด้วยสิ่งของที่ทำให้เรานึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักเลยเป็นสิ่งสำคัญ โดยกระเบื้องเซทนี้สามารถใช้ตกแต่งพื้นที่ภายในบ้าน หรือคอนโด เพราะจ๋าออกแบบมาโดยมีตะปูกาวสำเร็จรูปรองรับ เพื่อให้เหมาะสำหรับการย้ายที่อยู่ และสามารถเอางานไปด้วยได้ และซักวันหนึ่งถ้าตัดสินใจอยากลงหลักปักฐานมีบ้านเป็นของตัวเอง ก็สามารถติดกระเบื้องลงบนผนังอย่างถาวรได้อีกเช่นกัน

ความท้าทายของงานเซทนี้คือการเลือกสีเคลือบ ด้วยความที่ว่าลวดลายสัตว์นักษัตรมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะเลยต้องใช้เคลือบที่เน้นรายละเอียดพวกนั้นขึ้นมาได้ ตอนแรกจ๋าคิดไว้ว่าอยากใช้เคลือบสีใส เพื่อจะได้เห็นพื้นผิวของสัตว์ แต่สุดท้ายมาเจอเคลือบนี้ที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับงาน และทำให้รายละเอียดมีความตื้นลึกเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

ในอนาคตจ๋าอยากทำกระเบื้องแบบอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกค่ะเพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่ทำได้เรื่อย ๆ ชิ้นไม่ใหญ่เลยสามารถเผาได้หลายชิ้นในหนึ่งรอบเตา และพื้นทีที่มีงานเราไปติดตั้งน่าจะมีมิติเพิ่ม ในแง่ของงานคราฟและเรื่องราวจากตัวชิ้นงานเอง เลยเลือกงานชิ้นนี้ขึ้นมาเป็นเหมือนอินโทรสำหรับโปรเจกต์อื่น ๆ ในอนาคตค่ะ

Pearl Sconce

ผลงานชิ้นนี้เป็นโปรเจกต์ล่าสุดที่จ๋าทำค่ะ เป็นโคมไฟติดผนังแบบเซรามิก ซึ่งถือว่าเป็นงานเซรามิกขนาดกลางชิ้นแรกที่ได้ลองทำเลย โดยหัวข้อที่หยิบมาทำคือเรื่อง 'การเปิดโปงและการปกปิด' (revelation and secrecy) โดยยังคงมีกลิ่นอายของโปรเจกต์ก่อน ๆ เข้ามามีบทบาทอยู่ เช่น การใช้ 'prong' หรือ 'หนามเตย' ซึ่งเป็นองค์ประกอบของงานจิวเวลรี่ (หนามเตยคือชิ้นส่วนที่ใช้ยึดเพชรให้ติดอยู่กับตัวเรือนเครื่องประดับ)

ครั้งนี้จ๋าเอาคอนเซปต์การเปิดโปงและปกปิดมาผสมกับแรงบันดาลใจจาก 'หอยมุก' โดยใช้หลอดไฟเป็นเหมือนไข่มุกที่อยู่ตรงกลางของฟอร์ม โคมไฟชิ้นนี้ออกแบบให้มีเส้นโค้งเชื่อมโยงระหว่างหนามเตยแต่ละชิ้น คล้ายกับว่าฟอร์มกำลัง 'ขัดขืน' การเปิดเผยอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน เพราะโครงสร้างของฟอร์มมีทั้งภายนอกและภายใน เลยทำให้ไม่ว่าจะเปิดหรือปิดไฟ พื้นผิวก็จะมีปฏิสัมพันธ์กับแสงแตกต่างกันไปอย่างชัดเจน เหมือนกับว่าฟอร์มกำลังปกป้องทั้งแสงสว่างและความมืดเอาไว้ในตัวเดียวกัน

เนื่องจากมันเป็นโคมไฟติดผนังชิ้นแรกที่ได้ลองทำ ความท้าทายหลักคือขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาก ทำให้มีโอกาสเกิดความเสียหายหรือรอยร้าวระหว่างการผลิตมากกว่างานจำพวก tableware จ๋าเลยต้องค่อย ๆ รอให้ชิ้นงานแห้ง ใช้เวลานานกว่าปกติ และด้วยความที่เป็นโคมไฟ จ๋าเลยต้องศึกษาวิธีการติดตั้ง และเลือกใช้ชิ้นส่วนของหลอดไฟอย่างละเอียด ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องที่ใหม่และน่าตื่นเต้นมาก สุดท้ายงานก็ออกมาตามที่จินตนาการไว้เลยค่ะ

สำหรับในอนาคต อยากลองพัฒนาฟอร์มให้หลากหลายมากขึ้น และทดลองใช้เคลือบในหลาย ๆ แบบ เพราะชิ้นงานขนาดใหญ่มักเปิดโอกาสให้เราเล่นกับเท็กซ์เจอร์และเคลือบได้เยอะกว่างานชิ้นเล็ก ๆ ค่ะ

60 degree, 2018
กระดูกสันหลังคด

นี่คือธีสิสจบระดับปริญญาตรี เป็นโปรเจกต์แฟชั่น และเป็นครั้งแรกที่จ๋าได้เริ่มรีเสิร์จเกี่ยวกับ trauma ของตัวเองอย่างจริงจัง รู้สึกว่าได้ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสำรวจและเยียวยาตัวเองอย่างแท้จริง

โปรเจกต์นี้เลยเป็นทั้งความสนุกและการค้นพบที่สำคัญมากสำหรับจ๋า เพราะนอกจากจะช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ยังกลายเป็นสะพานเชื่อมให้จ๋าได้ connect กับเพื่อน ๆ หลายคนที่มีประสบการณ์คล้ายกัน จ๋าเลยรู้สึกผูกพันและชอบโปรเจกต์นี้มากเป็นพิเศษค่ะ

สามารถติดตาม Jaajr Studio กันต่อได้ที่: https://www.instagram.com/jaajrstudio/